กรอบแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือ เซาร์เทิร์น ซีบอร์ด ภายใต้โครงการนี้จะมีสะพานเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างฝั่งอันดามันกับฝั่งอ่าวไทย ซึ่งการพัฒนาในที่นี้ หมายถึงแผนพัฒนาอุตสาหกรรมหลายประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงถลุงเหล็ก ตามมาด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือน้ำลึก โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และเขื่อนเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว
และพื้นที่ที่จะเกิดโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นตามแผนดังกล่าว และถูกเรียกขานว่าเป็น “มาบตาพุด 2” นั้น คงจะหนีไม่พ้น จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยการครองแชมป์ถึง 22 โครงการ ที่จะเกิดขึ้นใน 3 อำเภอหลักๆ คือ อำเภอสิชล อำเภอขนอม และอำเภอท่าศาลา
โครงการ ที่จะเกิดในจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้นิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนอม โรงไฟฟ้าชีวมวล การก่อสร้างท่าเรือของบริษัทเชฟรอน การสำรวจขุดเจาะ และผลิต ปิโตรเลียมของ 3 บริษัทคือ บริษัทเชฟรอน กลุ่มบริษัทเพิร์ลออยในประเทศไทย และกลุ่มบริษัทนิวคอสตอล (ประเทศไทย)
นอกจากนี้ ยังมีการขยายโครงการสาธารณูปโภคเพื่อรองรับอุตสาหหกรรมดังกล่าว ประกอบด้วย การสร้างและขยายถนนที่เชื่อมโยงในพื้นที่ การสร้างทางรถไฟเชื่อมโยงในพื้นที่ โครงการก่อสร้างเขื่อน 3 แห่ง และโครงการก่อสร้างฐานบินของบริษัทเชฟรอน
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นภายในพื้นที่ของจังหวัดนครศรีธรรมราชแห่งเดียวเท่านั้น จากโครงการก่อสร้างดังกล่าวข้างต้น บางโครงการได้เริ่มดำเนินการแล้วในพื้นที่ ซึ่งการเข้ามาของโครงการเหล่านี้ สร้างปัญหาต่างๆเป็นอย่างมากให้กับชุมชน
และระหว่างวันที่ 3-4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการสิทธิชุมชน ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน 3 อำเภอหลักๆ ที่จะเกิดโครงการพัฒนาต่างๆ ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น
นางจารึก ผู้ใหญ่บ้านบ้านนาเม่า ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ในฐานะตัวแทนชาวบ้านได้เล่าให้คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ถึงการก่อสร้างโรงงานของ บริษัท เอส พี โอ อะโกรอินดรัสตี้ ซึ่งเป็นโรงงานที่สร้างเพื่อสกัดน้ำมันปาล์ม เพื่อผลิตพลังงานชีวภาพ ซึ่งโรงงานดังกล่าว สร้างในพื้นที่ซึ่งเป็นทางระบายน้ำของหมู่บ้าน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้น เนื่องจากน้ำระบายไม่ทัน และที่สำคัญคือ ชาวบ้านในพื้นที่ไม่เคยรู้ข้อมูลการก่อสร้างโรงงานเลย ทั้งนี้ ข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่ แจ้งว่า ทางอุตสาหกรรมจังหวัดได้มีคำสั่งให้โรงงานดังกล่าวหยุดดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งภายในที่เป็นอาคารได้หยุดดำเนินการก่อสร้างจริง แต่ด้านนอกยังมีการปรับพื้นโดยรอบ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลแผนพัฒนาภาคใต้ ตำบลทุ่งปรังนั้นจะเป็นพื้นที่สร้างนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบไปด้วย โรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 6 แห่ง ดังนั้น นี่จึงเป็นบทแรกของปัญหา จากอำเภอสิชล ไปถึงบ้านตะเคียนดำ ตำบลท่าขึ้น อำเภอท่าศาลา ที่นี่จะเป็นพื้นที่ก่อสร้าง โรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่บ้านตะเคียนดำ ยังไม่มีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมชัดเจน เพราะโครงการอยู่ในขั้นการเตรียมการ
แต่จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ปัญหาที่เกิดขึ้นคือความหวาดระแวงของชาวบ้าน เนื่องจากชาวบ้านไม่เคยรับรู้ข้อมูลที่แท้จริงจากหน่วยงานเจ้าของโครงการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่บ้านของเขา
ข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น จึงมีแต่ข่าวลือ ทั้งการกว้านซื้อที่ดิน การหลอกให้ชาวบ้านลงชื่อเพื่อเป็นการรับทราบข้อมูล ทั้งๆที่ไม่มีการให้ข้อมูล เป็นต้นนี่เป็นคำบอกเล่าจากชาวบ้าน ที่อยู่กับความหวาดระแวง เพราะไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร
ดังนั้น คณะอนุกรรมการสิทธิชุมชน ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลที่เป็นจริง เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัทเชฟรอน ปตท. กรมชลประทาน ฯลฯ โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ เป็นประธานในที่ประชุม ณ ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช
จากการตอบข้อซักถามของชาวบ้าน และการให้ข้อมูลของหน่วยงานดังกล่าว เกือบตลอดทั้งวัน ชาวบ้านยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะเกิดขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชหรือไม่ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ในขั้นตอนไหน และ ฯลฯ
มีเพียงกรมชลประทาน ที่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า ขอยุติโครงการอ่างเก็บน้ำทั้งหลายในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งอ่างเก็บน้ำคลองกลาย เขื่อนลาไม และเขื่อนท่าทน และยืนยันว่าไม่มีการตั้งงบประมาณไว้ในปี 2554-2555
เป็นคำตอบแรกที่ทำให้ชาวบ้านสบายใจ แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ
แต่หน่วยงานที่เป็นจำเลยของชาวบ้านมากที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้น บริษัท เชฟรอน ต่อข้อหาความไม่จริงใจต่อชุมชน การไม่เปิดเผยข้อมูล การข่มขู่ ชาวบ้าน
แม้ว่าในวันนั้น ผู้แทนจาก บริษัท เชฟรอนจะแก้ต่างอย่างไร ท่าทีของชาวบ้านยังไม่พอใจ และอยากได้ข้อมูลที่เป็นความจริง มากกว่านี้
แต่คำถามที่ติดใจผู้ร่วมฟังในวันนั้น และเชฟรอนยังไม่มีคำตอบคือ
“ถ้าชาวบ้านไม่เห็นด้วย เชฟรอนจะออกไปจากชุมชนหรือไม่”
เวทีการพูดให้ข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนในวันนั้น คงจะไปไม่ถึงการหยุดหรือระงับโครงการ
แต่เป็นการพูดคุยกันเพื่อเปิดเผยข้อมูล และข้อคับข้องใจของชาวบ้านตามสิทธิของพวกเขาว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่บ้าน และหน่วยงานที่รับผิดชอบที่เหมือนแขกแปลกหน้าของชุมชน ควรจะเคารพในสิทธิของเจ้าของบ้าน และบอกทุกอย่างให้เจ้าของบ้านได้รับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชุมชนของเขา
และนี้เป็นเพียงบทแรกของปัญหา แผนพัฒนาภาคใต้
ไม่มีความเห็น