เด็กและเยาวชนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ
การศึกษาและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาศักยภาพในตัวของเด็กและเยาวชนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าของประเทศต่อไป
ซึ่งการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้
มีความสามารถ มีทักษะในการใช้ชีวิต
มีความสามารถในการปรับตัวเป็นคนดีของสังคม
สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขนั้น
จำเป็นต้องพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิดและในทุกช่วงอายุ
การเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนเริ่มจากครอบครัวและสถาบันการศึกษา
ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่บ่มเพาะความรู้ แนวคิด ทัศนคติ
ค่านิยม ตลอดจนอุปนิสัยของเด็กและเยาวชน นอกจากนั้น
เด็กยังได้เรียนรู้เรื่องราว เหตุการณ์ ปรากฏการณ์ต่างๆ
จากชุมชนและสังคม
แต่ปัจจุบันด้วยสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง
กระบวนการเรียนรู้ของเด็กเริ้มเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต
สื่อกลายเป็นแหล่งเรียนรู้แหล่งใหม่ที่สามารถกระตุ้นการรับรู้และดึงดูดความสนใจจากเด็กและเยาวชนได้อย่างมาก
โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดสื่อใหม่ๆ มากมาย
โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตที่มีข้อมูลจำนวนมหาศาล
เรื่องราวที่เด็กสนใจใคร่รู้
เปิดกว้างให้เด็กเข้าไปค้นหาอย่างอิสระ
ในขณะที่สื่อดั้งเดิม ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร
ฯลฯ ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงได้ง่าย ก็พัฒนารูปแบบการนำเสนอ
ให้น่าสนใจโดยมีเป้าหมายการนำเสนอในเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นเนื้อหาการนำเสนอส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นการนำเสนอความบันเทิงในรูปแบบ
ต่างๆ ทั้งละคร เพลง เกมโชว์ ข่าวบันเทิงของดารานักร้อง แฟชั่น
โฆษณาขายสินค้าและบริการ
ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ธุรกิจสื่อและเจ้าของสินค้า
การเสพข้อมูลข่าวสารจากสื่อโดยขาดการคิด วิเคราะห์
และความรู้เท่าทันสื่อทำให้เด็กและเยาวชน ซึมซับแบบแผนการใช้ชีวิต
พฤติกรรม ค่านิยม วัฒนธรรมต่างชาติ กระแสการบริโภคนิยม
ส่งผลต่อทัศนคติ ความคิด
และพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน
ซึ่งเป็นการเรียนรู้ผ่านสื่อที่ไม่ได้เกิดจากประสบการณ์จริง
หรือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงในสังคม
ซึ่งเราไม่สามารถป้องกันสื่อที่สร้างผลกระทบด้านลบกับชีวิตของเด็กและเยาวชนได้
ขณะเดียวกันสื่อก็สร้างผลกระทบด้านบวกเช่นกัน
สื่อถือเป็นเครื่องมือในการเปิดโลกทัศน์
การเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมสังคม ,
รายการข่าว,ความรู้ประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ดี
ๆที่ได้รับรางวัลรวมทั้งส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้านดนตรีศิลปะ
สื่อยังช่วยในการเข้าถึงข้อมูลข้าวสารที่ทันยุคทันสมัย
ส่งผลให้มีส่วนร่วมทางสังคมเพิ่มมากขึ้น
และให้การรับรู้ถึงสิ่งต่างๆในโลกใบนี้ได้
เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่กำลังได้รับผลกระทบทางด้านลบจากสื่อ ๓
ประเด็นหลัก คือ
1.
การบริโภคนิยม
- เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ
เนื่องจากการบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร เช่น Fastfood
ส่งผลต่อการเกิดภาวะอ้วนได้
- เพาะบ่มนิสัยบริโภคนิยมจากการนำเสนอสินค้าต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ต
โทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ
- มีค่านิยมฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย
และใช้เงินอย่างมากไปกับสินค้าต่างๆ
- สร้างความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับรูปร่าง น้ำหนัก
หรือการลดความอ้วนเนื่องจากมีสื่อโฆษณาความ “ผอมเพรียว” มากมาย
2.
พฤติกรรมทางเพศ
- มักจะเกิดจากการเลียนแบบสื่อ
โดยเฉพาะทีวีเป็นตัวแบบที่สำคัญของการแสดงออกทางเพศของเด็ก
เช่น เพศสัมพันธ์วัยเรียน ล่วงละเมิด
หลงในมายาคติทางเพศ เสพติดเซ็กส์ การแต่งตัว
การวางตัวกับเพศตรงข้าม กริยาท่าท่าที่เหมาะสม
ค่านิยมต่างๆที่มากับละคร เป็นต้น
แล้วเด็กก็นำไปปฏิบัติเป็นแบบอย่าง
- ถูกยั่วยุทางเพศจนขาดการยับยั้งชั่งใจกับเพศตรงข้าม
เสี่ยงต่อการถูกล่อลวงในห้องแช็ทและอีเมลล์
3.
ความรุนแรง
- แนวโน้มด้านบุคลิกและนิสัยเสื่อมถอย เช่น มนุษยสัมพันธ์ต่ำ
โลกส่วนตัวที่สูง ครอบครัวถูกมองข้าม
คนแปลกหน้าได้รับไว้วางใจ
พฤติกรรมยับยั้งชั่งใจต่อเรื่องที่ไม่ดีต่างๆ ลดลง
- พฤติกรรมเลียนแบบต่างๆ เช่น การต่อสู้จากเกมส์
- มีความชาชินต่อสื่อหลังจากหมกมุ่นกับสื่อเป็นเวลานาน
- เสี่ยงต่อการเข้าไปเล่นพนันออนไลน์
- เคยชินกับความรุนแรงผ่านเกมส์ออนไลน์ และเว็บไซท์วิปริต
-
เสี่ยงที่จะขโมยบัตรเครดิตหรือขโมยเงินผู้ปกครองมาใช้เพื่อซื้อสินค้าออนไลน์
หรือสินค้าที่โฆษณาตามสื่อต่างๆ
ข้อมูลจากงานวิจัยต่างๆ
- สำนักวิจัยเอแบคโพลล์
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับมูลนิธิเครื่อข่ายครอบครัว
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) ปี ๒๕๔๖
ได้ทำการสำรวจอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก
พบพฤติกรมการดูทีวีของเด็กอายุ ๓ – ๑๒ ปี ตามทัศนะของพ่อแม่ /
ผู้ปกครองในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑,๔๗๗ ตัวอย่าง
พบจำนวนชั่วโมงการดูทีวีต่อวันในวันจันทร์-ศุกร์ และ วันเสาร์-อาทิตย์
จำนวนชั่วโมงดูทีวี เฉลี่ย ๓ – ๕ ชม. / วัน ช่วงเวลาที่ดูมากที่สุดคือ
จันทร์ – ศุกร์ ช่วง๔โมงเย็น– ๒ ทุ่ม ในวันเสาร์และอาทิตย์ ช่วง ๘
โมงเช้า ถึงเที่ยงเด็กนิยมดูทีวีมากที่สุด พ่อแม่ /
ผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความคิดว่าสื่อมีผลต่อพฤติกรรมลูกหลาน
ด้านต่าง ๆ และมีผลเสียต่อเด็กอยู่ในระดับปานกลาง
เช่นเดียวกับการทำงานด้านการกลั่นกรองสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง
ตัวพ่อแม่ที่ทำหน้าที่กลั่นกรองสื่อให้ลูกอยู่ในระดับปานกลางอีกด้วย
ส่วนการจัดประเภทของรายการในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเด็กส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะ
สมดีแล้ว
- มูลนิธิรักษ์เด็กกล่าวถึง เรื่อง
โทรทัศน์กับเด็ก
ในโครงการยุทธศาสตร์สื่อเด็กมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก(มพด.) ได้ก
ล่าวถึงเรื่องการใช้เวลาของเด็กส่วนใหญ่อยู่กับทีวีมากกว่าการเรียนหนังสือ
ในห้องเรียนตลอดทั้งปีเด็กและเยาวชนอายุ ๖ – ๒๔ ปีใช้เวลาถึง ๒,๒๓๖
ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่มีเวลาในห้องเรียนเพียง ๑,๖๐๐ ชั่วโมง ใน
หนึ่งวันโดยเฉลี่ยเด็กดูทีวีประมาณ ๕ ชั่วโมง
-
ผลวิจัยชี้ว่ามีความสัมพันธ์สูงระหว่างการเสพสื่อที่แสดงความรุนแรงต่อทัศนคติที่เป็นปัญหาของเด็ก
3 ประการคือ การมีทัศนคติที่ก้าวร้าวต่อผู้อื่นหรือต่อต้านสังคม
การเพิกเฉยหรือยอมรับการใช้ความรนแรงแก้ปัญหา
และการเครียดหรือหวาดวิตกต่อการถูกทำร้าย
-
จากงานวิจัยยังพบอีกว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงที่จะรับผลจากความรุนแรงในโทรทัศน์ได้มากเป็นพิเศษคือ
เด็กที่มีความที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือเด็กที่มีปัญหาในด้านการเรียนอยู่แล้ว
ตลอดจนเด็กที่ถูกทารุณกรรมจากครอบครัวหรือมีปัญหาครอบครัวจะมีโอกาสสูงกว่าเด็กทั่วไปในการซึมซับและลอกเลียนความรุนแรงที่เห็นมาใช้ในชีวิตจริง
- งานวิจัยด้านพัฒนาการของเด็กพบว่า
ในช่วงที่เด็กอายุ 1-3
ขวบถ้ามีการดูทีวีมากเกินไปจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับสมาธิในการเรียนเมื่ออายุ
7 ขวบ และเด็กที่ดูทีวีตั้งแต่ 10
ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์จะมีผลกระทบต่อสัมฤทธิผลด้านการอ่านของเด็ก
- งานวิจัยหลายชิ้นจึงมีข้อเสนอคล้ายๆ
กันว่าพ่อแม่ควรจำกัดเวลาการดูโทรทัศน์ของลูกให้มีแค่ 1 - 2 ชั่ว
โมงต่อวัน และควรกําหนดรายการโทรทัศน์ที่ลูกจะดูด้วย
ซึ่งยังรวมไปถึงการเลือกสื่อในรูปแบบอื่นๆ
ที่ล้วนแล้วมีผลต่อการพัฒนาสมองของเด็กทั้งสิ้น
(ศันนีย์ ฉัตรคุปต์, 2543)
- งานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในวัย
๐ – ๖
ขวบกล่าวถึงการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในเด็กแรกเกิดจะมีการเชื่อมต่อของใย
ประสาทอยู่ตลอดเวลาที่เด็ก
ได้รับการกระตุ้นโดยเฉพาะด้านภาษางานวิจัยสนับสนุนความจริงว่าเด็กที่อายุ
ต่ำกว่า ๒ ปี ดูแต่ทีวีซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นเวลานาน ตลอด ๖
– ๘
ชั่วโมงต่อวันเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางภาษาจะขาดการกระตุ้นใน
ขณะนั้นเนื่องจากเด็กขาดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่เด็กจึงไม่ได้เรียนรู้ที่จะ
สื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตนเองได้
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพเคลื่อนไหวในทีวีทำให้เด็กขาดสมาธิในการเรียนรู้
สิ่งต่างๆ ได้
-
งานวิจัยประเทศสหรัฐอเมริกาที่มหาวิทยาลัย คอร์เนลล์
,มหาวิทยาลัยอินเดียน่า และมหาวิทยาลัยเพอร์เดอร์(Purdue University)
ได้ศึกษาความเชื่อมโยงจากการดูทีวีของเด็กอเมริกันว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้
เกิดโรคออติซึมได้
- ดร. แอริค ซิกมัน ( Dr. Aric Sigman
) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการศึกษาแห่งสหราชอาณาจักร ( Associate
Fellow of the British Psychological)
ได้ศึกษาผลของทีวีต่อสุขภาพและได้แถลงต่อคณะสมาชิกวุฒิสภาประเทสอังกฤษจัด
โดยองค์กรด้านสื่อสารมวลชน Mediawatch – UK
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการดูทีวีเป็นเวลานานมีผลต่อรูปแบบการนอนที่ผิดปกติและลดอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายจนเกิดโรคอ้วนได้
น.ส มาลาภรณ์
วิชัย
g5336643