Healthy Public Policy & Health Impact Assessment
ได้ความรู้มากมายจากการเรียนวันนี้
จากสถิติปี 2525-2543 มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีมากขึ้นทุกปี ตามลำดับดังนี้
การฉีดยาฆ่าแมลง ใน 100 %
การตกค้างและสะสมในห่วงโซ่อาหาร
และอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้อีกนานหลายปี เช่น ดีดีที อยู่ได้ 4-30 ปี
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในปี 2542 พบว่าตัวอย่างของผัก ผลไม้ ที่พบสารเคมีจากปี 2537-2542 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
พบผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ มีสารเคมีตกค้าง เช่น สารกำจัดเชื้อรา สารเคมีเกษตร ปรอท และ salbutamol
การได้รับสารเคมีตกค้าง ทำให้ร่างกายมีความผิดปกติมากมาย ได้แก่ ระบบสืบพันธุ์ ระบบฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกัน ผิวหนังเป็นผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ เป็นตะคริว ระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ ท้องร่วง หายใจติดขัด ตาพร่ามัว ปวดศรีษะ มึนงง เหงื่ออกมากผิดปกติ ปวดกล้ามเนื้อ ปอดผิดปกติ มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเม็ดเลือดมะเร็งเต้านม ความผิดปกติแต่กำเนิก แท้ง และยังพบว่าทำให้ฮอร์โมนระบบประสาททำงานได้น้อยลง (acetyl cholinesterase)
ซึ่งบริษัทที่ขายสารเคมีเหล่านี้คือบริษัทยา
การทำการเกษตรที่ใช้สารเคมี เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะในที่สุดก็จะมีผลกระทบต่อคน และสิ่งแวดล้อม
จึงควรแก้ปัญหาโดยการให้ความรู้ให้ทุกคนเห็นอันตรายจากการใช้สารเคมี รณรงค์ให้ทำการเกษตรแบบปลอดสารเคมี เพื่อลดสารเคมีตกค้าง และลดผลกระทบต่อสุขภาพของคนในอนาคต และยังลดต้นทุนการผลิตจากค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการซื้อสารเคมีด้วย
เพื่อลด Suffering และ economic loss จาก unnecessary illness จึงพยายามแก้ปัญหาโดย
สาเหตุของปัญหาที่แท้จริงคือการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน (unsustainable development)
Public policy ที่สำคัญที่ผ่านมา ได้แก่
หรือแม้แต่โครงการ 100 % condom use program ของ นพ.วิวัฒน์ โรจน์พิทยากร เพื่อลดปัญหาการติดเชื้อ HIV
Healthy environment การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ ทางด้านกายภาพ เช่น การสร้างสวนสาธารณะ ถนน น้ำ การกำจัดขยะ ทางด้นสังคม วัฒนธรรม เช่น สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
การพัฒนาทักษะของประชาชนและครอบครัว เช่น การสร้างศูนย์การเรียนรู้
การสร้างชุมชนเข้มแข็ง เช่น มูลนิธิฉือจี้ ของประเทศไต้หวัน
การปรับทิศทางการบริการสุขภาพ เช่น Health care reform เพื่อให้เกิด Health equity, universal access to people-centred care และ Healthy community
การเจ็บป่วยในชุมชน ส่วนใหญ่สามารถดูแลตนเองได้ (Self care) 75% มี 25% ที่ต้องมารับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิ และมีเพียง 2.5% ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
Primary care – ทำให้สุขภาพดีขึ้น (มีประสิทธิภาพดีขึ้น(improving effectiveness))
- ทำให้สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ (มีประสิทธิผลดีขึ้น(improving efficiency))
ควรเน้นให้มี Health promotion มากกว่า Disease control, มี Disease control มากกว่า primary care และมีการดูแลรักษาในโรงพยาบาลน้อยที่สุด
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 เล่มที่ 124 ตอนที่ 16ก วันที่ 19 มีนาคม 2550 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 7 ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผย ในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้น เป็นไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้น โดยตรง หรือมีกฏหมายเฉพาะบัญญัติ ให้ต้องเปิดเผย แต่ม่ว่าในกรณีใดๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือ สิทธิตามกฏหมายว่าด้วย ข้อมูลข่าวสาร ของราชการหรือกฏหมายอื่นเพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้
มาตรา 8 ในการบริการสาธารณสุข บุคลากรด้านสาธารณสุขต้องแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการให้ผู้รับบริการทราบอย่างเพียงพอที่ผู้รับบริการจะใช้ประกอบการตัดสินใจ ในการรับหรือไม่รับบริการใด และในกรณ๊ที่ผู้รับบริการปฏิเสธไม่รับบริการใด จะให้บริการนั้นมิได้
ในกรณีที่เกิดความเสียหายหรืออันตรายแก่ผู้รับบริการเพราะเหตุที่ผู้รับบริการปกปิดข้อเท็จจริงที่ตนรู้และควรบอกให้แจ้ง หรือแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ผู้ให้บริการไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรืออันตรายนั้น เว้นแต่เป็นกรณี ที่ผู้ให้บริการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับกรณีดังต่อไปนี้
มาตรา 9 ในกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขประสงค์จะใช้ผู้รับบริการเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองในงานวิจัย ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขต้องแจ้งให้ผู้รับบริการทราบล่วงหน้า และต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้รับบริการก่อนจึงจะดำเนินการได้ ความยินยอมดังกล่าวผู้รับบริการจะเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้
มาตรา 10 เมื่อมีกรณีที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ต้องเปิดเผยข้อมูลนั้น และวิธีป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพให้ประชาชนทราบและจัดหาข้อมูลให้โดยเร็ว
การเปิดเผยข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
มาตรา 11 บุคคลหรือคณะบุคคล มีสิทธิร้องขอให้มีการประเมินและมีสิทธิร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพจากนโยบายสาธารณะ
บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนหรือของชุมชนและแสดงความเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว
มาตรา 12 บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฏกระทรวง
เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้วมิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผอดทั้งปวง
หมวด 6 บทกำหนดโทษ
มาตรา 59 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 7 หรือมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้
Health impact assessment of public policy (ประเด็นในการทำ HIA)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550
มาตรา 67 (วรรคสอง) “การดำเนินโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก่อน
รวมทั้งได้ให้องการอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าว”
รวมถึง พรบ. สุขภาพแห่งชาติ 2550 สิทธิด้านสุขภาพและผลกระทบต่อสุขภาพ มาตรา 10 และ มาตรา 11
แนวคิดการประเมินผลกระทบ
ทำไมต้องทำ HIA
ผลกระทบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐ และการเข้าถึงยา (Impact of Thai-US FTA and Access to Medicines โดย รศ.ดร.จิราภรณ์ ลิ้มปานานนนท์ และคณะ (2551)
Request จากประเทศสหรัฐอเมริกา
มีการประท้วงจากผู้ป่วย HIV+ เพื่อต่อต้านการตกลงเขตการค้าเสรีที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดือนมกราคม 2005 เพราะจะทำให้ยารักษา HIV มีราคาแพงขึ้น
ขั้นตอนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ
การประเมินผลกระทบทางสุขภาพ
เป็นกระบวนการตัดสินคุณค่าของนโยบายหรือโครงการ โดยพิจารณาที่ผลกระทบนั้นที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพใช้วิธีการ กระบวนการและเครื่องมือหลายชนิดร่วมกัน
ลักษณะพิเศษของ HIA
จากรายงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2548 ทิศทางการสร้างสุขภาพจากผลการประชุมที่เมืองออตตาว่า (2529) มีดังนี้
วัตถุประสงค์ เพื่อจัดทำทิศทางการพัฒนาสุขภาพเชิงระบบ (Ottawa)
ไม่มีความเห็น