เมื่อรถไฟไปถึงบาโรดาตอนค่ำ ก็มีเจ้าหน้าที่มารับที่สถานีรถไฟ และพาเราไปพักที่บ้านพักรับรองของมหาวิทยาลัย ( university guesthouse) ที่ต่างไปจากที่พักที่มหาวิทยาลัยบอมเบย์เมื่อคืนก่อน ดูสะอาดและเป็นส่วนตัวมากกว่า ความตื่นเต้นที่ได้มาถึงมหาวิทยาลัยซะทีทำให้นอนไม่ค่อยหลับ เพราะคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆนานาว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อ แต่พอรุ่งเช้ามาเยือนก็พบว่า บรรยายกาศในมหาวิทยาลัยเงียบเหงากว่าที่คาดไว้ ได้ความจากผู้จัดการหอพักว่า เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเขาสไตรค์กัน ด้วยเหตุผลอะไรจับความไม่ค่อยได้ เพราะตอนนี้ยังไม่คุ้นกับสำเนียงอังกฤษแบบแขก แม้จะรู้ว่าสไตรค์มันคืออะไรมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่การสไตรค์มันเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราเข้าจริง ๆ วันแรกของมหาวิทยาลัยจึงไม่เป็นไปตามที่หวัง จดหมายฝากฝังที่เจ้าหน้าที่ทุนจากบอมเบย์ให้ถือมาส่งให้อาจารย์ผู้ดูแลนักเรียนต่างชาติ ซึ่งสอนอยู่ที่ภาควิชาโบราณคดี ถูกเก็บอยู่ในกระเป๋านานเป็นสัปดาห์เพราะไปหาทีไรก็ไม่พบตัว เวลาส่วนใหญ่ในสัปดาห์แรกจึงหมดไปกับการเดินสำรวจมหาวิทยาลัย และพื้นที่โดยรอบ
ด้วยการแต่งตัว ท่าทาง และหน้าตาที่แปลกไปจากนักศึกษาส่วนใหญ่ ทำให้เราเป็นจุดสังเกตของคนที่นั่นไม่น้อย เวลาเดินผ่านกลุ่มหนุ่ม ๆ แขกตาคมหน้าเข้มก็จะมีเสียงดังเข้าหูมาว่า ชินี่ ชินี่ ( ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นคำเรียก คนจีน ) และผิวปากทักทายกันตลอดทาง พอเราหันไปมอง บางคนก็หลบตา บางคนก็จ้องตอบด้วยตาคมเข้มชนิดที่อาจทำให้หัวใจ(ง่ายๆ)ของใครบางคนละลายได้ ที่ค่อนข้างจะเอาการอยู่สักหน่อย ก็คือ ถึงขนาดขี่มอเตอร์ไซต์ตาม และขอให้นั่งซ้อนท้ายไปด้วยกัน เพราะอยากอวดเพื่อนว่ามีสาวหมวยซ้อนท้าย พอเราบอกว่า ไม่ ก็ต่อรองว่า แค่ 10 นาทีเอง เราก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธไป แต่ในใจน่ะหัวเราะดังมาก เพราะตั้งแต่เป็นสาวมาก็พอมีคนมาสนใจอยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะออกอาการประเจิดประเจ้อได้ถึงขนาดนี้
การเดินสำรวจรอบมหาวิทยาลัย ทำให้ได้เจอเพื่อนใหม่ ที่หน้าตาคล้ายเรามากกว่าแขก คนแรก คือ สาวมณีปุรี ชื่อ Romy มาจากทางตะวันออกค่อนไปทางเหนือของอินเดีย ซึ่งหน้าตาคล้ายคนไทยมาก เราจึงเข้าไปทักด้วยความดีใจ เพราะคิดว่าเป็นนักเรียนไทย แต่สุดท้ายเราก็เป็นเพื่อนและเพื่อนร่วมบ้านกันในเวลาต่อมา คนที่สอง เป็นหนุ่มเวียดนามที่ส่งเสียงทักทายเราก่อน ตอนแวะเข้าไปหาอาจารย์ผู้ดูแลนักเรียนที่ภาควิชาโบราณคดี ทำให้ได้คุยกัน เขาชื่อ Diem เป็นนักโบราณคดีเวียดนามที่ได้ทุน ICCR ( Indian Council for Cultural Relations ) เช่นเดียวกับเรามาศึกษาปริญญาโทด้านโบราณคดี ตอนนี้อยู่ปี 2 แล้ว แม้การคุยกันครั้งนั้นจะในฐานะคนแปลกหน้า แต่ก็รู้สึกได้ว่า Diem เป็นคนซื่อ ๆ จริงใจ มีน้ำใจคล้ายคนไทย และให้คำแนะนำอะไรดี ๆเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นั่น จากนั้นเราก็ได้เจอกันเป็นครั้งคราวตลอด 1 ปีที่เหลือของ Diem ก่อนจะแยกย้ายกันไป แต่ความเป็นเพื่อนที่ดีของเรายังคงอยู่ต่อมาจนปัจจุบัน
แม้การสไตรค์จะทำให้อะไร ๆไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย แต่ก็มีอะไรๆมาชดเชยให้ โดยเฉพาะเพื่อนใหม่ ที่ช่วยให้ประสบการณ์ชีวิตใหม่ในอินเดียไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก
ไม่มีความเห็น