หลบร้อนของอากาศและการเมืองมาเล่าเรื่องสารเคมีทางการเกษตรกันหน่อย ไม่ว่าสุดท้ายแล้วสารเคมีทางการเกษตรจะเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย การรับฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายแล้วนำมาตรองเองน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยุคข้อมูลข่างสารเช่นปัจจุบัน ทำไมต้องลดการใช้สารเคมี เป็นที่ยอมรับกันว่าสารเคมีทางการเกษตร หากใช้อย่างถูกต้องก็มีคุณอนันต์ ในทางกลับกันหากใช้ไม่ถูกก็มีโทษมหันต์และประเด็นนี้ที่ก่อให้เกิดปัญหาระบบนิเวศเกษตรของไทยนานัปการ ทั้งโครงสร้างของดินที่เปลี่ยนไป คุณภาพของน้ำ ศัตรูทางธรรมชาติ และผลผลิตทางการเกษตรเอง อีกทั้งกระแสแห่งการบริโภคสินค้าเกษตรและอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภคเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น จากปัญหาดังกล่าวรัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายสำหรับภาคเกษตรกรประการหนึ้ง คือ การใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรที่เหมาะสม และลดการพึ่งพาการใช้สารเคมีทางการเกษตรร้อยละ 50 จากปริมาณที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กระทรวงเกษตร ฯ ได้ผลักดันโครงการรณรงค์ส่งเสริมการใช้สารธรรมชาติทางการเกษตรทดแทนสารเคมี ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในลักษณะของการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตร ฯ ร่วมกันดำเนินงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้ใช้สารธรรมชาติทางการเกษตรทดแทนสารเคมี ด้วยการปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรที่พึ่งพาปุ๋ยเคมีและสารเคมีจากต่างประเทศ เป็นระบบการเกษตรที่พึ่งพาปัจจัยดังกล่าวด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและสภาพพื้นที่ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีเป้าหมายลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรลงร้อยละ 50 และมีเกษตรกรจำนวน 850,000 ราย ที่เข้าสู่วิถีเกษตรลดการใช้สารเคมี จากจำนวนเกษตรกรทั้งหมด 5.7 ล้านครัวเรือน หรือ ร้อยละ 15 ของเกษตรกรทั้งหมด รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 17 ล้านไร่ ภายในปี งบ 49 นี้ โครงการดังกล่าว จะสำเร็จได้ก็จะต้องได้ระบบการประสานความร่วมมือจาก 3 หน่วยงานหลัก คือ กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าดีใจแทนเกษตรกรชาวไทยที่มีในหลวงทรงพระปรีชาสามารถในทุกด้านอย่างนี้