บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน
จีรา ศรีไทย:ผู้เขียน
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
รหัส 52054110103
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน…ช่วยสอนจริงหรือ?...ช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขึ้นจริงหรือไม่? ประเด็นนี้น่าสนใจมากเลย…ยิ่งช่วงนี้ด้วยแล้วคุณครูทั้งหลายกำลังทำผลงานทางวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะกัน…ใครๆ ก็พูดถึงแต่บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบ้างก็ว่า ถ้านวัตกรรมเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแล้วผลงานต้องผ่านอย่างแน่นอน…บ้างก็ว่าไม่แน่เสมอไป…ผลงานทางวิชาการที่ไม่ผ่านเพราะบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็มีมาแล้ว…ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น…อะไรเป็นสาเหตุ…
ผู้เขียนได้สืบค้นงานวิจัยที่ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเข้ามาช่วยแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน พบว่าผลสรุปล้วนแต่ดี ๆ ทั้งนั้น …ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สุดยอดเลย… ถ้าเป็นเช่นนี้จริง…ก็แสดงว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนน่าจะช่วยให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สูงขึ้นจริง? หรือท่าน? มีความคิดเห็นว่ายังไง…เราจะมาลองทำความรู้จักบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกันก่อน…ก็แล้วกัน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามความคิดของผู้เขียน จากที่ได้ท่องโลกอยู่นานในฐานะ ครูผู้สอนในรายวิชาคอมพิวเตอร์ (ระดับมัธยมศึกษา) มา…หลายปี ขอให้ความหมายตามความคิดของผู้เขียนเอง ดังนี้
“บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นเครื่องมือใช้ในการจัดการเรียนรู้ของครู เป็นผู้ช่วยครูสร้างหรือพัฒนาขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีการเรียบเรียงเนื้อหาหรือเรื่องราวไว้แล้วอย่างเป็นระบบ เนื้อหามีทั้งที่เป็นข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียงบรรยาย อาจมีเสียงดนตรีเป็นแบ็กกราวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับบทเรียน ผู้เรียนเรียกใช้งานได้ด้วยตนเองภายใต้การควบคุมของคอมพิวเตอร์…”
ลองมาดูความหมายของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจากนักวิชาการท่านอื่นดูบ้าง ขอนำ มากล่าวถึงพอสังเขป ดังนี้ (http://yalor.yru.ac.th/~sirichai/4123612/ unit1/meaning-cai.html)
ศิริชัย สงวนแก้ว (2534 ) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) “เป็นการประยุกต์นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นเพื่อนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Tutorial) แบบจำลองสถานการณ์ (Simulations) หรือแบบการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) เป็นต้น การเสนอเนื้อหาดังกล่าวเป็นการเสนอโดยตรงไปยังผู้เรียนผ่านทางจอภาพหรือแป้นพิมพ์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม วัสดุทางการสอนคือโปรแกรมหรือ Courseware ซึ่งปกติจะถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นดิสก์หรือหน่วยความจำของเครื่อง พร้อมที่จะเรียกใช้ได้ตลอดเวลา การเรียน ในลักษณะนี้ ในบางครั้งผู้เรียนจะต้องโต้ตอบ หรือตอบคำถามเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคำถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์ และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรียน ขั้นต่อ ๆ ไป กระบวนการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์” วุฒิชัย ประสารสอน(2543) กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือบทเรียนซีเอไอ (Computer-Assisted Instruction; Computer-Aided Instruction: CAI) คือ การจัดโปรแกรมเพื่อ การเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อช่วยถ่ายโยงเนื้อหาความรู้ไปสู่ผู้เรียน และปัจจุบัน ได้มีการบัญญัติศัพท์ที่ใช้เรียกสื่อชนิดนี้ว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน”
จากความหมายตรงนี้ ก็จะเห็นว่ากว่าจะเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนขึ้นมาได้นั้น มีกระบวนการขั้นตอนมากมายที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ ผู้สร้างหรือพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ต้องมีความรู้ความเข้าใจโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี และต้องมีประสบการณ์มากพอดูจึงจะสามารถพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้อย่างมีคุณภาพ เมื่อพูดถึงคุณภาพ ผู้เขียนขอนำเสนอความคิดว่า ผู้เขียนมองในประเด็น “เหมาะกับวัย ใช้ง่าย ใช้สะดวก เนื้อหาสอดคล้องกับตัวชี้วัด ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน และที่สำคัญผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น” เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว…ถ้าเราจะนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการเรียนการสอนนั้น จะทำได้อย่างไร เมื่อไหร่…ต้องเตรียมการอย่างไร ซึ่งในจุดหลักตรงนี้ ผู้เขียนขอนำประสบการณ์จากการจัดการเรียนการสอนของตนเองมาเล่าสู่กันฟัง…เผื่อว่าจะได้เป็นแนวทางในการนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาใช้ในการพัฒนาผู้เรียนกันบ้าง…เพื่อช่วยกันหาข้อสรุปให้ได้ด้วยตนเองว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนดีจริง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงขึ้นจริงตามที่เราพบเห็นในงานวิจัยทั่วไปหรือไม่…อย่างไร?
การเรียนการสอนในรายวิชาคอมพิวเตอร์ ครูผู้สอนมักจะพบปัญหาที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะไม่แตกต่างกันเท่าไร การพูดหรือบรรยายเนื้อหาภาคทฤษฎีให้นักเรียนฟัง มักพบว่านักเรียนไม่ค่อยสนใจฟัง อาจเนื่องจากมีคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าเลยอยากใช้งานคอมพิวเตอร์มากกว่าฟังครูพูด เคยพบว่าขณะสอนมีนักเรียนแอบเปิดเว็บไซท์บ้าง เปิดโปรแกรมต่างๆ บ้าง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบในผู้เรียนในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศโลกไร้พรมแดนแบบไร้ขีดจำกัดแบบนี้ ถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว… ผู้เขียนยังจำได้ขึ้นใจกับคำพูดของนักเรียนในทุกครั้งที่มาเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ว่า “ครูค่ะ/ครับ…เปิดเครื่องเลยไหมค่ะ/ครับ” นี่เป็นประโยคแรกที่นักเรียนทักทายครู…เมื่อมาถึงห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ถ้าครูบอกว่า “เดี๋ยวก่อน ครูขอสอนก่อนนะ” หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ครูจะสอนเนื้อหาในส่วนทฤษฎีก่อนนั่นเอง แต่ในความคิดของนักเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ก็ต้อง ใช้คอมพิวเตอร์ นักเรียนก็จะแสดงสีหน้า “ผิดหวัง” อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยอมจำนนแต่โดยดี แต่ตรงกันข้ามถ้าครูบอกว่า “เปิดเครื่องได้” นักเรียนทั้งห้องก็จะร้องดังๆ “เฮ้” แล้วเสียงติ๊ด ตู๊ดของการบู๊ตเครื่องก็ดังขึ้น…พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส…บวกกับเสียงพูดคุยแสดงความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราผู้เป็นครูก็พลอยมีความสุขไปด้วยกับความเบิกบานของนักเรียน… โดยนักเรียนจะไม่สนใจว่า ณ เวลานี้ ชั่วโมงนี้ หรือขณะนี้ เรียนเนื้อหาอะไร ครูจะดำเนินกิจกรรมอย่างไร “ฉันไม่สน” ถ้าฉันได้เปิดคอมพิวเตอร์เมื่อไหร่นั่นแหละ “ใช่เลย” ยิ่งถ้าครูมีภาระงานไม่สามารถอยู่สอนในชั้นเรียนด้วยแล้ว ยิ่งดีใหญ่ ฉันจะได้เล่นคอมพิวเตอร์ได้อย่างที่ใจปรารถนา… ซึ่งผู้เขียนถือว่านี่คือปัญหาหลักของการเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ เอ! แล้วเราในฐานะครู จะทำอย่างไรดี…เราไม่ค่อยถนัดด้วยซิกับการต้องอธิบายเนื้อหา…เด็กโตก็สบายหน่อย สำเนาใบความรู้มาแจก นักเรียนศึกษาเองได้…ช่วยให้ครูเบาแรงขึ้นเยอะ แต่ก็ต้องอธิบายซ้ำอยู่ดี…จากการอธิบายทำให้พบปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การอธิบายโดยการเขียนบนกระดาน “เขียนพูดลบ เขียนพูดลบ” บางทีนักเรียนบันทึกลงสมุดไม่ทันบ้าง มัวแต่บันทึกก็ไม่ได้ฟัง มัวแต่ฟังก็ไม่ได้บันทึก จากประเด็นปัญหาการสอนที่กล่าวมา…อาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา แต่จริงๆ แล้วผู้เขียนถือเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เพราะสิ่งนี้เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้…ซึ่งในการเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ผู้เขียนพอจับประเด็นได้ว่า “…นักเรียนชอบใช้คอมพิวเตอร์มากกว่าฟังครูพูด…” คิดไปหลายอย่าง ทบทวนอยู่หลายครั้ง “แล้วเราจะทำอย่างไรดีนะ…” ความคิดบางอย่างแว็บเข้ามาในสมอง… “ในเมื่อนักเรียนชอบใช้คอมพิวเตอร์…ทำไมเราไม่บรรจุเนื้อหาบทเรียนลงในคอมพิวเตอร์ เราน่าจะลองใช้วิธีนี้ดู…” ความคิดในการนำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรม การเรียนการสอนก็เกิดขึ้น จากข้อสรุป…ผู้เขียนเริ่มศึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมที่ใช้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจากเอกสาร ตำรา เว็บไซท์ทั้งหลาย สอบถามผู้รู้ รวมทั้งเข้าร่วมประชุมอบรมแล้วก็ตัดสินใจเลือกโปรแกรมที่ตนเองถนัดที่สุด จากนั้นก็วิเคราะห์เนื้อหาบทเรียนแยกย่อยเป็นเรื่อง ๆ เริ่มลงมือสร้างทบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหน่วยแรกซึ่งเป็นเนื้อหาทฤษฎี แล้วนำมาทดลองใช้กับนักเรียนในชั้นเรียนปกติโดยนักเรียนศึกษาบทเรียนด้วยตนเอง ครูคอยกำกับดูแล ให้คำแนะนำแล้วร่วมกันสรุปอภิปรายในช่วงท้ายชั่วโมง จากการทดลองใช้พบปัญหาคือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีเนื้อหาเยอะไป ทำให้ใช้เวลามาก แต่ที่สังเกตพบสิ่งที่นักเรียนชอบจะเป็นในส่วนของการตอบคำถามในบทเรียน บางคู่ที่นั่งใกล้กันก็จะแข่งกันว่าใครตอบถูกหรือผิด บางทีก็มีเสียงเฮ้ดังๆ ออกมาถ้าเป็นฝ่ายตอบถูก เราก็พลอยสนุกไปกับนักเรียนด้วย ในตอนท้ายครูสรุป ซักถาม รู้สึกการเรียนการสอนครั้งนี้มีชีวิตชีวิตมากขึ้น ดูนักเรียนมีความสุขที่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียน อีกอย่างการนำเสนอเนื้อหาด้วยคอมพิวเตอร์ มีภาพประกอบที่ชัดเจน มีสีสันสวยงาม ทำให้ผู้เรียนเข้าใจง่าย ไม่เหมือนใบความรู้ที่สำเนาชัดบ้างไม่ชัดบ้าง และที่ค้นพบอีกอย่างก็คือ นักเรียนที่ขาดเรียนในชั่วโมงนั้น สามารถศึกษาตามหลังด้วยตัวเองได้นอกเวลาเรียนมีเพื่อนคอยช่วยเหลือแทนครู…ผู้เขียนรู้สึกเบาแรงขึ้นเยอะไม่ต้อง พูดมาก สบายขึ้น ผู้เขียนเริ่มมองเห็นส่วนดีของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน “ช่วยเราได้เยอะเลย…” นักเรียนก็ชอบ ยิ่งบทเรียนมีการ์ตูน ภาพประกอบมีสีสัน สวยงาม อีกอย่างนักเรียนได้เปลี่ยนวิธีการเรียน…รู้สึกอะไรอะไรก็ดีไปหมด…จากที่นักเรียนจะเป็นฝ่ายถามครูว่า “ครูค่ะ/ครับเปิดคอมพิวเตอร์เลยไหมค่ะ/ครับ” เปลี่ยนเป็นครูจะบอกนักเรียนเลยว่า “เปิดเครื่องเลยนะ” ในครั้งแรกที่นักเรียนมาถึงห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ …บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทำให้ครูมีเวลาในการกำกับดูแลช่วยเหลือนักเรียนในชั่วโมงเรียนมากขึ้น อีกทั้งเมื่อจบบทเรียน พบว่า ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้หลังเรียนก็สูงกว่าก่อนเรียนซึ่งเป็นเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ที่ครูปรารถนายิ่งนัก…
จากความคิดแบบแว็บๆ…ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้เขียนได้เริ่มอยากรู้จักบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน…แม้สอนวิชาคอมพิวเตอร์อยู่นาน แต่ก็ไม่เคยได้ลงมือผลิตบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เป็นจริงเป็นจังสักที ถือว่าครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนเลยก็ว่าได้… จากการผลิตหน่วยแรกก็เริ่มทยอยหน่วยที่ 2 หน่วยที่ 3 ไปเรื่อยๆ จนครบทุกหน่วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสร็จในคราวเดียว หมายถึง สอนไปพัฒนาไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ปี จึงพัฒนาได้ครบทุกหน่วย แต่ก็ยังไม่น่าพึงพอใจเท่าไหร่…ยังคนสอนไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนาไปเรื่อยๆ …ข้อค้นพบอีกอย่างหนึ่ง ด้วยภาระงานพิเศษที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากงานสอน ทำให้พบว่า เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ในหน่วยแรกๆ แล้วพอหน่วยต่อๆ ไป นักเรียนมีวิธีการเรียนรู้ของตนเองแล้ว…ครูแทบจะหมดความสำคัญไปเลย…พอถึงชั่วโมงเรียน นักเรียนจะรู้ว่าต้องทำอะไรเพราะในบทเรียนได้ออกแบบวิธีการเรียนรู้ไว้เป็นขั้นเป็นตอน กำหนดภาระงานที่นักเรียนต้องปฏิบัติไว้อย่างชัดเจนแล้ว นักเรียนสามารถที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนๆ โดยอัตโนมัติ จนบางทีครูรู้สึกเหงา… หรือว่า “เราจะหมดความสำคัญไปแล้ว” นักเรียนทุกคนจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ “ไม่มีใครสนใจใคร แล้วก็ไม่มีใครสนใจเราเลย” …จนบางครั้งนักเรียนกับครูแทบไม่ได้พูดคุยกัน เว้นแต่เครื่องคอมพิวเตอร์เกิดป่วยขึ้นมาเท่านั้น…ผู้เขียนมักจะทักนักเรียนในบรรยากาศที่ทุกคนกำลังสนใจแต่หน้าจอของตนเองว่า… “พูดคุยกันบ้างนะ ดูเงียบจัง” นักเรียนก็จะเงยหน้ามองครูแว็บหนึ่งแล้วก็ปฏิบัติเช่นเดิม ผู้เขียนคิดว่านี่เป็นจุดด้อยที่พบจากการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จากความคุ้นเคยเริ่มกลายเป็นความห่างเหิน ระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับเพื่อนนักเรียน “ขาดมนุษยสัมพันธ์ต่อกัน…” ผู้เขียนต้องคอยซักถาม หรือให้นักเรียนพักการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เปลี่ยนมาเป็นซักถาม อธิบาย สรุป ก็ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาดีขึ้น…ทำให้ได้แนวทางในการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในกิจกรรมการเรียนการสอนปกติว่า ในส่วนท้ายถ้าครูได้ช่วยสรุป หรือกระตุ้นซักถาม ก็จะมีส่วนช่วยเติมเต็มความรู้ความเข้าใจให้นักเรียนได้ชัดเจนขึ้น…หรืออาจกำหนดภาระงานในลักษณะเป็นกลุ่มเพื่อให้นักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กันภายใต้การศึกษาสืบค้นความรู้จากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ยังพบอีกว่าในบางวันที่ครูมีการประชุมแบบเร่งด่วนก็ไม่มีปัญหาต่อการเรียน หรือแม้แต่ครูไปราชการ นักเรียนก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพียงแต่ครูต้องจัดการเรื่องของการเปิดห้องปฏิบัติการให้นักเรียนได้มีโอกาสได้เข้ามาใช้คอมพิวเตอร์ก็เท่านั้น…ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้ …แต่ก็มีปัญหาอีกประเด็นหนึ่งที่ครูผู้สอนในบริบทโรงเรียนรอบนอกที่ชุมชนที่ยังมีปัญหาความยากจนคุกคามอยู่…ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์นี้นักเรียนจะสามารถใช้ได้เฉพาะในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เท่านั้น เนื่องจากนักเรียนไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่บ้าน แต่ผู้เขียนคิดว่าเป็นเพียงปัญญาเล็กๆ ซึ่งจะหมดไปได้ก็อยู่ที่การบริหารจัดการของครูผู้สอนว่าจะออกแบบการจัดการเรียนรู้อย่างไร….ให้สอดคล้องกับลักษณะของวิชาและบริบทของโรงเรียนและชุมชน…
จากประสบการณ์ที่เล่ามานี้…ผู้เขียนขอยืนยันว่า “บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสามารถแก้ปัญหาการเรียนรู้ได้จริง ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะสามารถแทนครูผู้สอนไปเสียทีเดียว ครูยังคงต้องเป็นผู้กำกับการเรียนรู้ของผู้เรียนอยู่เช่นเคย เพียงแต่บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะช่วยให้กิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียนมีชีวิตชีวา กระตุ้น เร้าให้ผู้เรียนสนใจบทเรียนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งผู้สอนจะมีบทบาทมากน้อยเพียงใดยังขึ้นอยู่กับวัยของผู้เรียน ลักษณะนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนของผู้เรียนด้วย ซึ่งผู้เขียนในบทบาทครูผู้สอนถือว่าเป็นผู้โชดดีที่ได้มีโอกาสส่งเสริมให้ผู้เรียนให้เข้าถึงเทคโนโลยีในทุกโอกาสที่ทำได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต…
---------------------------------------
เห็นด้วยกับคุณครูผู้สอน computer ด้วย computer ค่ะ CAI มีประโยชน์ต่อทั้งครูและนักเรียน
คุณครูลองแขวนบทเรียน CAI ของคุณครูใน Learners.com สิค่ะ แล้วให้นักเรียนเข้าไปเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน www
ส่วนนักเรียนที่ยังมีศักยภาพไม่พอที่จะใช้ internet ที่บ้านก็ใช้ใน ชม.เรียนไปก่อน
ดีจังค่ะ ที่มีคุณครูที่สนใจ ตั้งใจ และพัฒนาการสอนอยู่ตลอดเวลาแบบคุณครู ขอบคุณแทนเด็กไทย และประเทศไทยค่ะ
แค่อยากทักทาย