ผู้ที่ตั้งคำถามนี้ น่าจะเป็นนักวิจัยหน้าใหม่ ที่เริ่มมีความสนใจแล้ว และมีความกังวลมาก เกิดความสับสนกับ“วิจัยหน้าเดียว” ที่ดูตัวอย่างมา กับ ”วิจัยห้าบท” ที่เพื่อนครูได้รับคำชื่นชม แต่ยากมาก ความจริง “วิจัย” คืออะไร
ขอตอบคำถามนี้ ด้วยการชี้แจงความหมายของคำว่า “วิจัย” ก่อน ผู้ถามจะมองเห็นความหมายจาก “คุณค่าของการวิจัย “
“วิจัย” ในวงวิชาการสมัยใหม่ จะใช้คำภาษาอังกฤษ ว่า “research” ให้ความหมายว่า เป็นกิจกรรมที่มุ่งค้นหาความจริงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่ออธิบายสิ่งนั้นอย่างกระจ่างชัด มีการพัฒนากรรมวิธีและระบบ การค้นหาจะดำเนินไปอย่างมีระบบ จนได้ข้อค้นพบเป็นความรู้ หลักการ หรือทฤษฎีที่น่าเชื่อถือ สามารถนำไปประยุทธ์ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและวิชาชีพได้
สำหรับคำภาษาไทย “วิจัย” มาจากคำบาลี ว่า “วิจโย” พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายว่า “เป็นลักษณะหนึ่งของการใช้ปัญญา พร้อมทั้งเป็นการทำให้เกิดปัญญา หรือทำให้ปัญญาพัฒนาขึ้นด้วย”[1] “ปัญญาในขั้นที่ทำงานเพื่อให้บรรลุผลนั้นเป็นปัญญาที่เรียกว่า วิจัย วิจัยไปก็เกิดปัญญา ”[2] ”วิจัย” เป็นหลักสำคัญตามพุทธพจน์ที่ว่า “ธรรมนั้นเราแสดงไว้โดยวิจัย” (วิจยโส เทสิโต ภิกฺขเว มยา ธมฺโม) ในการประกอบภารงานครู ผู้สอนก็สอนไปโดยได้ความรู้จากการวิจัย แล้วนำมาสอนโดยวิธีวิจัย[3]
ส่วนคำภาษาอังกฤษ ” research“ ก็มีความหมายที่ไม่แตกต่างกัน ส่วนมากเราจะคุ้นเคยมากกว่า เพราะเราใช้ตำราที่แปลมาจากภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญมีความสอดคล้องกัน ส่วนพฤติกรรมของผู้วิจัย และ ผลการวิจัยจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับรายบุคคลที่มีความตั้งใจ ความพยายามและการใช้ปัญญาที่แตกต่างกัน
คุณค่าของการวิจัย การวิจัยคือการทำให้ปัญญาเกิด “ด้วยการรู้จักคิดพิจารณาค้นหาความจริง หาทางทำให้มันดี ให้มันสำเร็จ ให้มันพ้นทุกข์ ให้มันแก้ปัญหาให้ได้ … เป็นหน้าที่...ไม่ใช่เป็นกิจกรรมเพื่อของการศึกษาหรือการเลื่อนวิทยฐานะเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาจากรากฐานของการสร้างปัญญาสู่ชีวิตประจำวัน”[4]
ส่วนการวิจัยทั้งทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ พบประโยชน์ที่เกิดจากผลการวิจัยมีมากมาย ทั้งที่ใกล้ตัว เช่นความสะดวกต่างๆ อันเป็นคุณค่าที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีการเรียนรู้ มีความสามารถเช่นที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จนสามารถพัฒนาชีวิติให้มีความสุขสะดวกมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญญาที่ยังขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องก็อาจส่งผลร้ายกระทบถึงเราได้ จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีปัญญาจัดการปัญหาที่เกิดด้วยความรู้ที่เท่าทันได้
สรุปตอบคำถาม อย่างไร เรียกว่า”วิจัย”
”วิจัย” คือ กิจกรรมที่บุคคลต้องการพัฒนาตนเองด้วยการใช้ปัญญาเพื่อค้นหาความจริงอย่างมีระบบ ระเบียบ ให้เกิดการรู้หรือเกิดปัญญา และพร้อมที่จะใช้ปัญญา ทำให้ปัญญาพัฒนาขึ้นด้วย
ในฐานะครู อาจารย์ หรือบุคลากรทางการศึกษาอื่นๆ จะทำวิจัย ก็ต้องเกิดความตั้งใจพัฒนาเพื่อให้ตนเองสามารถปฏิบัติภารกิจในความรับผิดชอบให้บรรลุผลสำเร็จที่พึงปรารถนา ความตั้งใจที่แรงกล้าจะทำให้ตนเองเกิดความวิริยะ ขวนขวาย ฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ มากขึ้น ๆ เป็นการพัฒนาการวิจัยนั้นเอง
ความกังวลที่เคยเกิด “อยากวิจัย” ด้วยเหตุผล เพียงอยาก เพราะ...(หลากหลายความคิด) คงจะผ่อนคลาย เพราะรู้ว่า วิจัยไม่ได้กำหนดที่รูปแบบ”หน้าเดียว” หรือ “ห้าบท” แต่เป็นการพัฒนางานที่รับผิดชอบ ใช้การเรียนรู้กับการทำงาน พัฒนาให้เกิดคุณภาพ ถ้าทำได้ รางวัลที่รออยู่ คือ เห็นพัฒนาการของลูกศิษย์ ความภูมิใจในความสามารถของตนเอง และผลพลอยได้ที่น่ายินดี คือ เงินได้ และวิทยฐานะที่เพิ่มขึ้น
ขอมีส่วนให้กำลังใจผู้ปรารถนาพัฒนาปัญญา และใช้ปัญญาพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป
[1] พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), การศึกษากับการวิจัยเพื่ออนาคตของประเทศไทย หน้า4.
[2] เล่มเดิม หน้าเดิม
[3] เล่มเดิม หน้าเดิม
[4] เล่มเดิม หน้า 18
จากการอ่านข้างต้นผู้อ่านสรุปได้ว่า “วิจัย” คือ สิ่งที่บุคคลต้องการพัฒนาปัญญาของตนด้วยวิธีการศึกษาค้นคว้า อย่างเป็นระบบแบบแผน เพื่อให้ได้มาซึ่งปัญญาที่พัฒนาขึ้น ทั้งนี้การทำวิจัยไม่ได้กำหนดอยู่ที่รูปแบบว่าจะต้องเป็นวิจัยหน้าเดียว หรือห้าบท แต่ขึ้นอยู่ว่าวิจัยนั้นได้พัฒนาในส่วนที่รับผิดชอบหรือไปเพิ่มพูนปัญญาของผู้ทำวิจัย เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้พัฒนาสังคมได้ต่อไป ส่วนอื่น ๆ ที่ตามมาคือผลพลอยได้และขวัญกำลังใจ