ความยากจนของเกษตรกรไทย
มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เช่น
1. ทำไมเมื่อก่อนเกษตรกรเบิกป่าใหม่ ๆ เกษตรกรปลูกพืชผัก ผลไม้ ทุก ๆ ชนิด ได้ผลผลิตที่สูง และมี รสชาติดี ไม่มีโรคและแมลงรบกวนจึงทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ดีกินดี
2. แต่เมื่อเกษตรกรปลูกพืช ผัก ผลไม้ไปประมาณ 7-8 ปี ผลผลิตจึงลดลงเรื่อย ๆ แถมมีโรคพืชเกิดขึ้นหลายโรค มีแมลงรบกวนมาก จึงต้องใช้สารเคมีจำนวนมาก มากำจัดแมลงและเชื้อโรค
3. เมื่อผลผลิตลดลง เกษตรกรจึงได้นำเอาปุ๋ยเคมี NPK มาใช้ ใช้ในช่วงแรกผลผลิตก็เพิ่มขึ้น แต่พอใช้ไปสัก 2-3 ปี ผลผลิตกลับลดลง ทำให้เกษตรกรยิ่งใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น
4. เมื่อใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น ต้นทุนก็สูงขึ้นแต่ผลผลิตกลับไม่เพิ่ม แถมยังทำให้ผลผลิตลดลงเรื่อย ๆ และยังถูกแมลงและเชื้อโรครบกวนหนักขึ้น เกษตรกรจึงหันมาใช้สารเคมีกำจัดทั้งเชื้อโรคและแมลง ยิ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นอีก
5. จึงมีคำถามว่าทำไมในป่าที่อุดมสมบูรณ์ จึงไม่ต้องใช้ NPK หรือใช้สารอื่น ๆ แต่พืชทุก ๆ ชนิดกลับอุดมสมบูรณ์ และแข็งแรงไม่เป็นโรค
คำตอบ ทรัพยากรดินในป่าทำไมถึงอุดมสมบูรณ์โดยไม่ต้องใช้อะไรไปปรับปรุง เพราะมีจุลินทรีย์คอยแปร ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ธาตุอาหารเสริมให้พืชได้ใช้อยู่ตลอดเวลา เรียกว่า “ความสมดุลทางธรรมชาติ” แต่เมื่อเกษตรกรเบิกป่าใหม่ ๆ นำทรัพยากรดินมาทำธุรกิจทางการเกษตร ก็มีการใช้ทรัพยากรดินอย่างต่อเนื่อง มีแต่ใช้ แต่ไม่เคยเสริมแร่ธาตุอาหารทุก ๆ ชนิด และไม่เคยสร้างจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ให้แก่ดิน จึงทำให้ดินเสื่อมลงเรื่อย ๆ เมื่อดินเสื่อมลงก็ได้นำเอาสารเคมี NPK มาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต แต่ของทุก ๆ สิ่งบนโลกใบนี้ มีคุณอนันต์ ย่อมที่จะมีโทษมหันต์ ดังนั้นเกษตรกรทั่วโลกยังขาดความรู้ เรื่องการใช้สารเคมีทุก ๆ ชนิด เมื่อนำมาใช้ในครั้งแรกมีผลผลิตเพิ่ม ก็ทำให้เข้าใจว่า NPK ดี ก็ยิ่งใช้หนักขึ้น แต่พอใช้ไปนาน ๆ เข้าจึงรู้ว่า การใช้ปุ๋ยเคมีล้วน ๆ ก่อให้เกิดปัญหาดินตายด้าน ดินเสื่อมสภาพหนักขึ้นและก่อให้เกิดโรคชนิดต่าง ๆ มากมาย ฉะนั้นจะแก้ไขอย่างไร จากประสบการณ์มีคำตอบดังต่อไปนี้
ขอยกตัวอย่าง
1. ปาล์ม เมื่อตอนเปิดป่าใหม่ ๆ ตัดปาล์มได้ 5 - 7 ตัน ต่อ 1 ไร่ ต่อมาเมื่อดินเสื่อมสภาพ ผลผลิตปาล์มก็ลดลง เหลือ 2 --3 ตัน ต่อ 1 ไร่ ปัญหาดินเสื่อมทำให้ปาล์ม 100 ต้น มีปัญหาเป็นปาล์มตัวผู้ ถึง 20% และออกลูกบ้าง ไม่ออกลูกบ้าง 50% และเหลือต้นที่ดี ๆ ประมาณ 30%
วิธีแก้ไขหากต้นปาล์มมีปัญหา ให้นำเอาปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้ มีผลดีดังนี้
1. ต้นที่ไม่ออกลูก 20% เมื่อใช้แล้วประมาณ 3 เดือน จะออกลูกเต็มต้น
2. ต้นที่ออกลูก 50% เมื่อนำไปใช้แล้ว ออกลูก 100% และออกมากกว่าที่เคยออกลูก
3. ต้นที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งมีอยู่ 30% กลับออกลูกทั้งปีไม่เคยขาดคอ
ทำให้ผลผลิตปาล์มสวนที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพซึ่งมีผลผลิตสูงขึ้นจากเดิมที่เคยตัดได้ 2-3 ตัน ต่อ 1 ไร่ ต่อ 1 ปี กลับตัดได้มากกว่า 8 ตัน ต่อ 1 ไร่ ต่อ 1 ปี
2. ยางพารา ก็เช่นเดียวกันส่วนใหญ่ประเทศมาเลเซียและทางใต้ของไทยโค่นทิ้ง หันมาปลูกปาล์มกันเป็นจำนวนมากปัญหายางที่ต้องโค่นทิ้งก็คือ
1. เปอร์เซ็นต์น้ำยางต่ำ
2. น้ำยางออกน้อย
3. ยางมีปัญหาหน้าตายเป็นจำนวนมาก
4. เป็นโรคต่าง ๆ มากมาย
5. หน้ายางแข็งกระด้างกรีดยาก
แต่เมื่อนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้มีผลดีดังนี้
1. เปอร์เซ็นต์น้ำยางปกติวัดได้ 32% จะเพิ่มขึ้นเป็น 42-44%
2. สวนยางที่ให้ผลผลิตต่ำ 100-150 ก.ก./ไร่/ปี เมื่อนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้จะได้ผลผลิตเป็น 300-500 ก.ก./ไร่/ปี
3. หน้ายางที่ตายนึ่งกรีดแล้วไม่มีน้ำยางออก เมื่อนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้หลังจากนั้น 40 วัน ไปกรีดใหม่มีน้ำยางออกมาปกติ
4. ปกติยางจะเป็นโรครากขาว ใบร่วง รอยที่กรีดจะเป็นปุ่ม ๆ หน้าไม่เรียบ จะหายหลังจากนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้จะไม่เกิดโรคชนิดต่าง ๆ เลย
5. ปกติหน้ายางจะแข็งกระด้าง หลังจากใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หน้ายางจะนิ่มกรีดง่าย เกษตรกรสามารถพิสูจน์โดยนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปทดลองหว่านได้เลย 15-20 วัน หน้ายางก็จะนิ่มกรีดง่าย
6. เมืองไทยได้ทดลองเอายางต้นแก่ซึ่งมีอายุ 25 ปี จะโค่นทิ้ง นำไม้ไปทำเฟอร์นิเจอร์ แต่ได้ทดลองนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้ ตอนนี้ต้นยางที่ทดลองอายุ 35 ปีแล้ว น้ำยางกลับออกดีเปลี่ยนจากถ้วยมาเป็นถังรองรับน้ำยาง ต้นไหนหน้ายางที่กรีดหมด ต้นจะลอกออกมีหน้ายางใหม่เกิดขึ้นมาแทน
3. ข้าว ก็มีปัญหามากมาย ปกติผลผลิตได้ 400-500 ก.ก. ต่อ 1 ไร่ หลังจากนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้ จะทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 800-1,500 ก.ก. ต่อ 1 ไร่ ปัญหาหอยเชอร์รี่ก็น้อยลง ต้นข้าวไม่ล้ม ทำให้เกี่ยวง่าย พวกโรคและแมลงไม่เข้าทำลายเลย
4.พืช ผัก พืชไร่ เมื่อนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ 1 ไร่ ไปใช้แล้วทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 200-300%
5.ไม้ยืนต้น เช่น กาแฟ ผลผลิตเพิ่มขึ้น 300%
6.ไม้ดอกไม้ประดับ ผลผลิตก็เพิ่มขึ้นเป็น 200-300%
7.ผลไม้ หากนำไปใช้จะทำให้ผลผลิตออกก่อนฤดู รสชาติหอมหวาน ไม่มีแมลงและเชื้อโรคเข้ารบกวน
8. อ้อย เมื่อก่อนเบิกป่าใหม่ ๆ ปลูกอ้อยได้ 30 ตัน ต่อ 1 ไร่ ปัจจุบันได้ 8-10 ตัน ต่อ 1 ไร่ หลังจากนำปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้ ก็ทำให้ผลผลิตสูงเท่าเดิม คือ 30-40 ตัน ต่อ 1 ไร่
9. มันสำปะหลัง ก็เช่นเดียวกัน เบิกป่าใหม่ ๆ เกษตรกรไทยปลูกได้ 12 ตัน ต่อ 1 ไร่ ปัจจุบันลดเหลือ 3-5 ตัน ต่อ 1 ไร่ หลังจากนำ ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพไปใช้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 16 - 25 ตัน ต่อ 1 ไร่
ไม่มีความเห็น