นพ.ลัญฉน์ศักดิ์ อรรฆยากร
วิปัสสนา เป็นภาษาบาลี ตามพจนานุกรมเสรีศัพท์ แปลว่า การเห็นชัดเจน หรือ การเห็นแจ้ง ตามความเข้าใจของผม “วิปัสสนา” แปลว่า “การดู” หรือ “การสังเกต” จะอย่างไรก็ตามคำถามที่ตามมาคือ เห็นแจ้งอะไรหรือดูอะไร แล้วใช้อะไรดู ดูเพื่ออะไร ใครเป็นผู้ดู เมื่อพิจารณาผิวเผินแล้วก็อาจเข้าใจว่าเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำได้หากมีตา ซึ่งนั่นไม่ใช่ความหมายที่แท้จริง ขอย้อนกลับไปที่คำถามข้างต้นเพื่อตอบข้อสงสัย หลังจากผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมในสำนักของโกเอ็นก้า (ชื่อเต็มคือ ท่าน สัตยา นารย ัน โกเอ็นก้า) ทำให้ผมได้เข้าใจชีวิตของผมเอง อาจจะรวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมากมายทั้งที่ดูเห็นและดูไม่เห็นด้วยตาเปล่ามากขึ้น และสามารถตอบคำถามต่างๆที่ตนเองเคยคิด เคยฟัง มาในอดีตเกือบทั้งหมด หากไม่ได้ อย่างน้อยก็รู้วิธีที่จะได้มาซึ่งคำตอบเหล่านั้นได้ไม่ยาก
ผมมีความเข้าใจกับการวิปัสสนาว่าการสังเกต เพราะฟังแล้วใกล้เคียง และไม่เกิดความสับสนเหมือนคำว่าดู และทำให้ทราบถึงบริบทของพฤติกรรมนี้มากขึ้น หากเริ่มถามว่าผมสังเกตอะไร ก็คงตอบได้หลากหลาย เพราะคำ”สังเกต”นั้นเป็นกริยาที่ต้องการกรรม (ในทางภาษา “ประโยค”ประกอบด้วย ประธาน กริยา ส่วนขยาย คำเชื่อม กรรม เป็นต้น) กรรมจึงสามารถเป็นได้มากมาย ในมุมมองคนทั่วไปโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ก็จะคิดถึงสิ่งที่สังเกตได้ด้วยตาเปล่า หรือไม่ก็ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีเช่น กล้องจุลทรรศน์ กล้องโทรทัศน์ เครื่องตรวจจับและแสดงผลออกมาทางหน้าจออิเล็กโทรนิกส์ ซึ่งได้แก่ คน สัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตเล็กๆ สิ่งของ เป็นต้น สุดท้ายก็ผ่านเข้า”ตา”ของผู้สังเกตอยู่ดี สิ่งต่างๆข้างต้นในความหมายของวิปัสสนา เรียก “กาย” ซึ่งจัดเป็นกรรมเพียงหนึ่งชนิดในทั้งหมดสี่ชนิดที่มนุษย์เราสามารถสังเกตได้ แล้วเรามักทำมันอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้การสังเกตกรรมอีกสามชนิดได้แก่ เวทนา จิต และธรรม ซึ่งจัดว่าเป็นกรรมที่เป็น นามธรรมเช่น การเดิน การพูด ความเย็น ความสุข ความทุกข์ จับต้องไม่ได้ และจะขอกล่าวโดยขยายต่อไป สรุปว่าเราวิปัสสนาอะไร คำตอบคือ เราวิปัสสนา”กรรม” ๔ ชนิด ได้แก่ กาย เวทนา จิต และธรรม บางท่านเรียกว่า กรรมฐานทั้ง ๔ นั่นเอง (บางท่านอาจจะเข้าใจคำว่า “กรรม” หมายถึง การกระทำ กฎแห่งกรรม ซึ่งก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “กรรม” ในเชิงนามธรรมเช่นกัน)
คำถามต่อไปแล้วเราใช้อะไรสังเกต ต่อเนื่องจากที่ตอบคำถามแรก เราสามารถใช้”ตา”ในการสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวได้ รวมทั้งร่างกายของเราเองภายนอก และภายในโดยใช้เครื่องทุ่นแรงหรือเทคโนโลยีใดๆก็ตาม หากแต่ยังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่สามารถใช้ได้เพื่อสังเกตสิ่งต่างๆโดยเฉพาะ “กรรม” ๓ ชนิดที่เหลือ นั่นคือเราใช้ “จิต” สังเกตเป็นหลักซึ่งไม่สามารถทำได้โดยใช้”ตา” ดูได้โดยละเอียด เช่น หากท่านจะสังเกต “ความร้อน” “ความเย็น” หรือ “ความรู้สึกทางกาย” (เวทนา) ต่างๆได้อย่างถูกต้องและเข้าใจสิ่งนั้นจริงๆว่าเป็นอย่างไร ก็ต้องใช้ระบบประสาทและสมอง ซึ่งบทบาทของ”ตา”ต่อการสังเกตก็ลดลงไป หรือหากท่านจะสังเกต “ความเศร้า” “ความโกรธ” “ความทุกข์” “ความสุข” ฯลฯ (จิต) ที่เป็นนามธรรมเฉพาะตัวของท่านเอง หรือคนอื่นๆอย่างชัดเจน ก็คงต้องถามตนเองหรือคนอื่นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งไม่มีทางที่จะรับรู้สิ่งนั้นได้อย่างแท้จริง จนกว่าท่านจะมีประสบการณ์นั้นโดยตรง ซึ่งก็แน่นอนว่าท่านไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าสิ่งที่ท่านรู้สึกนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่คนอื่นเป็นหรือไม่ สามารถตรวจวัดได้ยากมากในทาง "กาย" ภาพ หรือ "ตา" เห็น และสุดท้าย เนื่องจาก "จิต" ซึ่งเป็นอวัยวะที่ไม่มีสัณฐานที่วัดได้ ยังมีความสำคัญมากในการสังเกต "ธรรมชาติ" ของสิ่งต่างๆรอบตัว คือการเปลี่ยนแปลงไป เป็นปกติธรรมดาของสรรพสิ่ง เป็นกฎเกณฑ์สากลของทุกสิ่งทั้งจักรวาล (ธรรม) เช่น หากท่านไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าความตายมีลักษณะอย่างไร เป็นอย่างไร ความเปลี่ยนไปของจักรวาลเป็นอย่างไรแล้ว หรือความเป็นอมตะเป็นอย่างไร ท่านก็สามารถพัฒนาจิตของท่านให้สามารถสังเกตและรับรู้สิ่งต่างๆทั้งภายในและภายนอกโดยละเอียดให้ดีเพื่อรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เข้าถึงสัจธรรมทั้งปวง ซึ่งแน่นอนบางครั้งการอธิบายเรื่องของ “ธรรม” ก็ยากที่จะเข้าใจด้วยการสื่อสารด้วยภาษา คำพูดอธิบาย มีเพียงการปฏิบัติเท่านั้นจะทำให้ท่านเข้าใจการสังเกตระดับนี้ได้มากขึ้นๆ ละเอียดขึ้นๆ
คำถามต่อมาว่า วิปัสสนานั้นทำไปเพื่ออะไร คำตอบก็คือ การสังเกตนี้เกิดขึ้นก็เพื่อให้รู้ให้เข้าใจในธรรมชาติมากขึ้นจนถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต โดยส่วนใหญ่จะไม่สามารถหาได้จากการอ่านมา ฟังเขามา หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์อะไรก็ตามที่ไม่บริบูรณ์ด้วยตัวมันเอง ด้วยศักยภาพแห่ง "จิต" หากถูกอบรมฝึกฝนให้มีกำลังมากพอก็สามารถสังเกตเห็น หรือรับรู้ได้ในสิ่งที่ยากที่จะรับรู้ได้ตามปกติทาง "ตา" ผู้ที่ปฏิบัติจะสามารถตัดสินใจกระทำการใดๆ ทั้งทางกาย วาจา และใจด้วยความเหมาะสมยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นประโยชน์สูงสุดและไม่ก่อโทษแก่สิ่งแวดล้อม อยู่ร่วมกันกับสิ่งต่างๆ ในสังคมอย่างสมดุล ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เกิดประโยชน์นั้นเราเรียกว่า "ปัญญา" โดยสรุปการวิปัสสนานั้นก็เพื่อใจเกิดปัญญาในการดำเนินชีวิต หากแต่ผู้ที่ใช้วิทยาศาสตร์ปัจจุบันมุ่งเน้นการสังเกตแต่เพียง "กาย" จึงยากที่จะเข้าถึง "ธรรม" เลยต้องตามแก้ไขสิ่งที่วิทยาศาสตร์ก่อขึ้นเรื่อยๆ ไป ขอเพียงผู้ที่ใช้วิทยาศาสตร์นั้นหันมาสังเกตโดยใช้ "จิต" ที่พัฒนาร่วมด้วยกับ "ตา" แล้ว จะเกิดสิ่งซึ่งเป็นแต่ประโยชน์มหาศาลไม่สร้างปัญหาเหมือนดั่งในโลกปัจจุบัน
คำถามสุดท้ายใครเป็นผู้สังเกต คำตอบก็คือผู้สังเกตได้คือผู้ที่มี “ตา” และ “จิต” หรืออย่างน้อยมี "จิต" ที่พัฒนาได้นั่นก็แปลว่า อย่างน้อยๆ ผู้นั้นก็มีต้องปัญญาทางโลกซึ่งเกิดขึ้นจากการอ่าน การฟัง การนึกคิด และจำเป็นต้องมีเนื้อสมองใหญ่ (Cerebrum หรือ Neocortex) ที่ทำหน้าที่เหล่านั้นเพียงพอ ไม่ได้ถูกทำลายไป หรือไม่มีตั้งแต่เกิด หากสังเกตแล้วเห็นจะมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะปฏิบัติได้ โดยเฉพาะจะเหมาะสมที่สุดในมนุษย์ที่ไม่ได้พิการทางสมองหรือถูกทำลายไปมาก มีปัจจัยสี่พอเพียง มุ่งมั่นใฝ่หาพัฒนาตนเอง อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวย มีกัลยาณมิตรชักชวนให้ปฏิบัติ
การวิปัสสนานั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลาตามอิริยาบถต่างๆ หากแต่จะมีความละเอียดอ่อน แตกต่างกันตามเหตุและปัจจัยรบกวนภายนอกและภายใน ขอแนะนำในผู้ที่ฝึกปฏิบัติใหม่ทุกท่าน ซึ่ง "จิต" ยังมีกำลังไม่มากพอที่จะเป็นอิสระจากสิ่งกระทบนั้นๆ ควรหาที่ฝึกปฏิบัติในที่ๆ สงบเงียบ มีสิ่งเร้าน้อยที่สามารถเข้ามากระทบทั้งทาง ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ซึ่งจัดว่าเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ เหลือแต่ส่วนที่เป็นสิ่งรบกวนทางจิตใจเท่านั้นที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เจอได้ซึ่งมันคือ โอกาสที่การวิปัสสนาโดยใช้ “จิต”จะได้พัฒนานั่นเอง ดังนั้นหากท่านวิปัสสนาดูก็จะรู้ว่าเมื่อใดที่ท่านได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติโดย การนั่งสงบ(กาย) หลับ(ตา) ไม่พูดคุย (หู) ในธรรมชาติที่ไม่มีมลภาวะทางอากาศ ไม่มีเครื่องหอม(จมูก) รับประทานอาหารที่ไม่ปรุงแต่งรสชาติจัดจ้าน (ลิ้น) และเราก็สามารถใช้สิ่งรบกวนที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรานี้เองเป็นแบบฝึกหัดพัฒนาการสังเกตจนกระทั่งเกิดปัญญาในระดับที่ละเอียดขึ้นๆ การปฏิบัติเช่นนี้นับว่าเป็นหนทางพื้นฐานที่เหมาะสมที่สุดต่อการพัฒนาจิตในขั้นสูงต่อไป ปฏิบัติด้วยความเพียรไม่เกียจคร้าน แล้วท่านจะสังเกตได้ว่าการเกิดครั้งที่สองของท่านนี้จะทำให้ท่านพร้อมเผชิญหน้าต่อความเปลี่ยนแปลงในชีวิตทุกสถานการณ์ รวมทั้งความตาย
ไม่ต้องรอให้ "ตา" สังเกตเห็น ท่านจะสามารถรับรู้และเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่ชีวิตต้องเผชิญได้โดยตรง ทั้งก่อนเกิด ขณะเกิด และหลังจากเกิดไปแล้ว ด้วยความเข้าใจใน "ธรรม" ด้วย "จิต" ของท่านเอง
เจริญพร คุณหมอลัญฉน์ศักดิ์ อรรฆยากร
เป็นข้อสังเกตุการปฏิบัติที่ดีมาก ได้ข้อคิดเตือนใจเรื่องการใช้ ตา คู่กับใจ และให้ได้ปัญญา
ขออนุโมทนา
นมัสการครับพระคุณเจ้า
สาธุ สาธุ สาธุ (-/\-)