หลังจากที่พวกเราได้ดูละครเงาเสร็จแล้วนั้น พวกเราได้มีโอกาสไปเห็นเบื้องหลังของการแสดงละครเงาว่า
“เขาทำกันอย่างไร”
ในระหว่างทางที่จะเดินกลับมาที่ศูนย์คอมพิวเตอร์และเครือข่าย พวกเราก็ได้คุยว่า
“เขามีคนแสดงกันแค่ 4 คนเอง เขาต้องประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ และเตรียมตัวอย่างมากน่าดู”
ผมก็เลยฉุกคิดไปถึงเรื่องการเตรียมตัวในการทำงานทุกครั้ง
ประเด็นแรก นับตั้งแต่เรื่องของการคิดภาระงานสอน ที่ผมเคยฟังท่านอธิการบดี อธิบายว่า
การคิดภาระงานสอนนั้น เราจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน อย่างเช่น ถ้าเราสอน 3 คาบ มหาวิทยาลัยจะคิดภาระงานให้เรา 9 คาบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1
3 คาบแรก เป็นส่วนของการเตรียมการสอน
ส่วนที่ 2
3 คาบต่อมา เป็นส่วนของกิจกรรมการเรียนการสอน
ส่วนที่ 3
3 คาบหลัง เป็นส่วนของการตรวจงาน การบ้านและแบบฝึกหัด
ประเด็นที่ 2 จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การที่ผมได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุดโครงการเสริมสร้างการบริหารจัดการที่ดีของกองทุนหมู่บ้านฯ ผมก็ได้เห็นการปฏิบัติงานที่หนักและทรหดมาก ๆ ของ ทีมผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้ามาเป็นวิทยากรให้พวกเราในการอบรมรวมกลุ่มทั้งประเทศในแต่ละครั้ง
ซึ่งในตอนนั้นเราก็คิดว่าเราอบรมกันหนักแล้ว ตั้งแต่ สองโมงเช้าถึงสามทุ่ม แต่ที่ผมได้เห็นและรู้สึกเหนื่อยแทนกรรมการเหล่านั้น ก็เพราะว่า ก่อนที่พวกท่านจะจัดกิจกรรมอบรม จัดหลักสูตรเสริมสร้างทักษะให้พวกเราอบรมกันได้นั้นท่านการประชุมมาแล้วหลายรอบด้วยกัน ประกอบกับในช่วงระหว่างที่เราอบรมกันนั้น หลังจากที่เราอบรมเสร็จ 3 ทุ่มไปแล้ว ที่เราบ่น ๆ กันว่าเหนื่อยมาก ๆ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ยังมีประชุมสรุปงานและเตรียมงานในวันรุ่งขึ้นต่อไปอีก ท่านทำกันอย่างนี้ทุกวันและทุกครั้งที่เราไปอบรมกัน
ประเด็นที่ 3 จากการทำงานวิจัย ในช่วงแรกนั้น ผมจะใช้เวลาเตรียมงานออกเวทีค่อนข้างน้อยมาก บางครั้งก็จะคุยกัน วางแผนบนรถในช่วงที่เดินทางไปเท่านั้น อาจจะด้วยชะล่าใจในการที่สอนหนังสือมานาน คิดว่า “สบายมาก” จัดเวทีแค่นี้เอง สอนหนังสือเด็กยากกว่าอีก
จากประเด็น ทั้ง 3 ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น โดยเฉพาะข้อที่ 3 การจัดเวทีในแต่ละครั้งรู้สึกว่า น่าจะได้อะไรมากกว่านี้ ถ้าเราเตรียมการมาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนอกเหนือจากการประชุมแล้ว “เรายังต้องมีการซักซ้อมการจัดเวทีอีกด้วย”
จากนั้นมา ผมก็เริ่มที่จะซักซ้อมสิ่งต่าง ๆ ในการจัดเวที ทั้งในส่วนของคุณอำนวย คุณลิขิต หรือแม้กระทั่งคนถ่ายรูป คนจัดโต๊ะ ต้องมีการซักซ้อมอย่างน้อยหนึ่งครั้งก่อนที่จะจัดเวทีจริง เพราะการประชุมพูดอย่างเดียวนั้น ไม่ใช่การเตรียมที่ดีที่สุด เราลงไปทำงานปฏิบัติจริง ดังนั้นเราต้องซ้อมด้วยกันปฏิบัติจริง
ผมจึงเริ่มต้นใช้แนวคิดนี้ในการควบคุมโครงการเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการทั้งในส่วนนักศึกษาภาคปกติในจังหวัดอุตรดิตถ์ และนักศึกษา กศ.บป. (โครงการพัฒนาการศึกษาสำหรับบุคลากรประจำการ) ที่วิทยาเขตน่าน โดยการจัดเวทีชุมชนแต่ละครั้งนั้น จะต้องมีการเตรียมการอย่างรัดกุม ต้องประชุมกันอย่างน้อย 3 ครั้ง และฝึกซ้อมปฏิบัติอีก 1 ครั้ง เพื่อให้การทำงานในแต่ละครั้งนั้นเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด
ผลปรากฏว่า สิ่งที่ได้จากการทำงานในแต่ละครั้งดีขึ้นจริง ๆ ครับ ถ้าเราเตรียมและซักซ้อมไปก่อน เพราะทุกคนนอกจากจะมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเองและแต่ละส่วนแล้ว ยังมีทักษะในเรื่องของไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการทำงานกับชุมชนและการจัดเวทีได้อย่างดีมากอีกด้วย
อีกประการหนึ่ง การเข้าไปเป็นที่ปรึกษาของสำนักงานสหกรณ์จังหวัดอุตรดิตถ์ ในส่วนของการจัดการความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของส่งเสริมสหกรณ์ ผมก็ได้เน้นย้ำและชักนำให้ทุก ๆ คน ให้ความสำคัญกับการวางแผน เตรียมงาน และซักซ้อม อย่างเอาจริงเอาจริง
โดยพูดไว้เสมอว่า “ชุมชน ชาวบ้าน เป็นคนจริง ๆ ไม่ใช่หนูทดลอง ดังนั้น ห้ามไปซ้อม ไปทดลอง อะไรกับเขา” ไม่ใช่ว่า เรามีโครงการจะจัดเวที 3 เวที แล้วใช้เวทีแรกเป็นที่ทดลอง แล้วปรับใช้ไปเรื่อย ๆ
เวทีแรกก็คนนะครับ เขาก็มีชีวิต มีครอบครัวต้องดูแล ดังนั้น เราในฐานะผู้ที่จะไปลงปฏิบัติงานกับเขา เราต้องเตรียมความพร้อมของเราอย่างดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เพราะที่จะทำให้เวทีทุกเวที งานทุกงานนั้นออกมาอย่างดีที่สุดครับ
นอกเหนือจากนี้อีกประเด็นหนึ่งที่สามารถนำมาวิเคราะห์และให้ความสำคัญก็คือ ประเด็นของการคิดภาระงานสอนที่ให้ความสำคัญของการติดตามผลงาน ตรวจการบ้าน แบบฝึกหัด และประเมินผลหลังการสอน ซึ่งในการจัดเวทีหรือทำงานต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน เราต้องให้ความสำคัญกับการจัดเวทีในการสรุปผล เป็นเวทีอย่างไม่เป็นทางการ พูดคุยกัน มีคุณอำนวยให้การพูดคุยสรุปประเด็นกับทีมงานสำหรับงานที่เราทำกันในแต่ละกิจกรรม เพื่อที่จะได้นำความรู้ต่าง ๆ ที่ได้มากมายจากเวทีที่เราได้ปฏิบัติจริงผ่านบริบทต่าง ๆ ทั้งเวลา คน สถานที่แตกต่างกันนั้น มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ นำไปสู่การแก้ไข ปรับปรุง พัฒนา และจัดเก็บเป็นหางปลาทูไว้เพื่อใช้ในโอกาสหน้าและเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อบุคคลต่าง ๆ ทั้งในองค์กรและนอกองค์กร ที่จะสามารถหยิบนำไปใช้ได้อย่างทั่วถึง
เปรียบเสมือนกับละครเงาที่เราดูในวันนี้ เขาต้องผ่านการซ้อมอย่างหนัก นับตั้งแต่การเขียนบท การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ การเรียนรู้ การจัดแสงสีเสียง การประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ซ้อมแล้วซ้อมอีก ซ้อมแล้วกลับนำมาพูดคุยกัน สรุปผล วางแผนใหม่ กลายเป็นวงจร PDCA (Deming Cycle) ที่หมุนวนอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งถึงวันที่แสดงต่อหน้าผู้ชมได้ เราก็เหมือนกัน ในการจัดเวทีชุมชน ทำวิจัยกับชุมชน เปรียบเสมือนการแสดงละครเงา ที่จะต้องเตรียมสิ่งต่าง ๆ ให้พร้อมที่สุด เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมความรู้ ซ้อมตัว ซ้อมใจ ซ้อมความรู้ และสรรพสิ่งต่าง ๆ ให้พร้อมที่จะทำงานร่วมกับชุมชน เพราะชุมชนคือชีวิต และชีวิตของเราคือชุมชน
หนูชอบคำกล่าวของอาจารย์ที่ว่า... เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมความรู้ ซ้อมตัว ซ้อมใจ ซ้อมความรู้ " โดยเฉพาะคำว่า "ซ้อมความรู้" รู้สึกมันได้กลิ่นอายของการพัฒนาฝีกฝนและทบทวนความรู้ของตนเองคะ
ครับ ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ ลองทำดูนะครับ แล้วจะพบกับความสุขและสนุกกับการทำงานมากขึ้นครับ
ป.ล. ถ้าอย่างไรช่วยแสดงตนหน่อยนะครับ ผมจะได้เข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยครับ