โรคเรื้อรังนับวันเป็นปัญหาสุขภาพเพิ่มมากขึ้นทั้งปริมาณและค่าใช้จ่ายต่างๆในการดูแลผู้ป่วยให้มีสุขภาพที่ยืนยาวจนกว่าจะเสียชีวิต ในเครือข่ายโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ มีจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังซึ่งได้แก่เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โดยรวมประมาณ 3,500 คนซึ่งถ้าหากจัดบริการเฉพาะในโรงพยาบาล หรือ CMU จะเกิดปัญหาความแออัดของผู้ป่วยอย่างมากและโรงพยาบาลหรือ CMU ไม่สามารถจัดบริการรองรับผู้ป่วยได้ทั่วถึง ทางเครือข่ายโรงพยาบาลจึงมี นโยบายกระจายผู้ป่วยออกตาม PCU ลูกข่ายของ CMU โดยจะพัฒนาให้มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยได้เท่าเทียมกับโรงพยาบาล และ CMU ซึ่งกระบวนการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้จัดทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักโภชนากร นักกายภาพบำบัด อายุรเวท หรือแพทย์แผนไทย ออกให้บริการตามเขต CMU ที่เป็นแม่ข่าย 4 แห่ง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และให้บริการผู้ป่วยที่อยู่ในเขต PCU ลูกข่ายในโซนนั้นๆอีกเดือนละ 1 ครั้งด้วยมาตรฐานเดียวกัน การให้บริการจะใช้ บุคลากรในการดูแลที่เป็นสหวิชาชีพจากโรงพยาบาล ร่วมปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ รพ.สต. และPCU ส่วนสื่อการสอน สื่อความรู้ จะใช้ร่วมกันกับคลินิกโรคเรื้อรังของโรงพยาบาล การจัดกระบวนการจะได้นำข้อมูลการบริการมาประมวลผลคุณภาพในภาพรวมของเครือข่าย
วัตถุประสงค์
1.เพื่อจัดบริการดูแลโรคเรื้อรังแบบใกล้บ้าน ใกล้ใจ ได้ครอบคลุมตามมาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.เพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
3.เพื่อความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ
4.ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ถูกต้องตามแนวทางปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคเรื้อรังตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
5. เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการดูและตนเองและประมวลผลการให้บริการผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
กลวิธีการดำเนินงาน
7.1 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมก่อนการทำกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายยืดเหยียดหรือนั่งสมาธิ หรือเพลงสร้างความสนุกสนานและเสียงหัวเราะให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม
7.2 จัดกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถอดบทเรียนเพื่อการพัฒนา กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย
กลุ่มแรกคือ กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้( >180 mg%)กลุ่มนี้จะแยกเข้ากลุ่มพบนักโภชนากรและนักกายภาพบำบัดหรืออายุรเวทแพทย์แผนไทย
กลุ่มที่สองคือ กลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ปานกลางและดี
( >80 mg% - <180 mg%) ให้ความรู้เรื่องเบาหวาน จากสื่อการเรียนรู้
7.3 แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยการเล่าสู่กันฟังในประเด็น
ก. ประสบการณ์เกี่ยวกับเบาหวาน
ข. ความสำเร็จในการควบคุมน้ำตาลหรือความภาคภูมิใจเกี่ยวกับเบาหวาน
ค. ปัญหา/อุปสรรคในการดำรงชีวิตหรือประสบการณ์เกี่ยวกับเบาหวาน
ง. สิ่งที่อยากให้เกิดหรืออยากให้มีอยากให้เป็น
7.4 ภาคบ่ายในวันคลินิกออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยที่มีปัญหาซับซ้อน ร่วมกันเป็นทีมสหวิชาชีพ
7.5 สรุปและประเมินการดูและโรคเรื้อรังในเครือข่ายเพื่อพัฒนาต่อไป
ผลการดำเนินงาน
ความประทับใจที่อยากเล่า ถือเป็นความสำเร็จเล็กน้อยที่ได้เริ่มนำ เอาหลักการจัดการความรู้ ( KM ) นำมาใช้และพัฒนาในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในคลินิก ซึ่งการได้ลงไปเยี่ยมบ้านผู้ป่วยแต่ละ รายที่มีระดับน้ำตาลเกิน จนทำให้เกิดอาการปลายประสาทอักเสบ มึนชาตามเท้า มักจะเป็นปัญหานำพาให้ วิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ดี ซึ่งหลังจากประเมินอาการทางคลินิกในการตรวจรับยาแต่ละครั้งที่โรงพยาบาลตำบลปทุม และเยี่ยมบ้านเพื่อแก้ปัญหา สอนวิธีการดูแลตนเองในเรื่องการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารทั้งที่บ้านและเวลา รอตรวจ ผลลัพธ์ ผู้ป่วยก็ยังมีปัญหาเดิม บางรายปัญหามากขึ้น เช่นมีแผลเรื้อรังที่เท้า ใช้การรักษาโดยสมุนไพร หรือขาดนัดไม่ยอมมารักษา
การมองเห็นและเข้าใจสภาพปัญหา การออกแบบการเรียนรู้ ที่ง่ายต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับบริบทของชุมชนนั้นๆ จะทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี ความรู้ฝังลึก ( Tacit Knowledge ) อยู่ในตัวของผู้ป่วยแต่ละคน เพียงแต่เราต้องค้นหาและนำความรู้เหล่านั้นมาเผยแพร่ ให้ผู้ป่วยได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน ซึ่งหลักการดังกล่าวได้ถูกนำเอามาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปทุม
กลวิธีการดำเนินงาน โดย จัดตลาดนัดอาหารสุขภาพ ในผู้ป่วยเบาหวาน ทุกวันอังคาร ผู้ป่วยแต่ละคนขณะมารับยาและรอตรวจ ก็สามารถนำอาหารพื้นบ้านที่ทำขึ้นมาเอง ผักพื้นบ้านริมรั้ว ผลไม้ในสวน มาขายแลกเปลี่ยนกันซื้อกลับบ้าน เจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำชี้แนะอาหารที่ถูกต้องบริโภคได้เหมาะสมกับโรค โดยไม่ต้องอาศัยสื่อการสอนที่ราคาแพง แต่ ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงและจับต้องได้ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง นอกนั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการดูแลเท้าและยืดเหยียด กล้ามเนื้อเพื่อแก้ปัญหา อาการปวด ในห้องบริการแพทย์แผนไทย ก็จำลองการใช้ กะลามะพร้าวในการกดนวดเท้าและบริหารเท้า ใช้อุปกรณ์กะลามะพร้าวในการสาธิตให้ผู้ป่วยนำกลับไปทำที่บ้าน ดังผู้ป่วย 2 รายที่ประสบผลสำเร็จในการนำกลับไปทำเองที่บ้านดังนี้
คุณป้า จันทา ทองไทย ผู้ป่วยเบาหวาน มีอาการชาปลายเท้าสูญเสียความรู้สึก 5 จุด หลังจากนวดเท้าให้ 1 ครั้งและแนะนำ การเหยียบกะลามะพร้าว ที่บ้าน ป้าจันทากลับไปทำที่บ้านทุกวัน วันละ3-4 ครั้ง นาน 15- 20 นาที / ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน ป้าหายจากอาการชา ตรวจเท้าแล้วปกติ ป้าได้เล่าประสบการณ์ให้ผู้ป่วยรายอื่นๆ ฟัง บางรายที่บ้านใกล้กันก็ไปดูที่บ้าน และนำกลับไปทำบ้าง เช่นเดียวกับวันนี้ ป้าจำลอง แสงวิเชียร ปวดขา และชาจนเดินลำบากเป็นมานาน จึงนำเอาวิธีของ ป้าจันทา ไปทำบ้าง เพราะความอยากให้หายไว ป้านวดกะลา ทั้งวัน เดินผ่านไปมาในบ้าน ก็นวด สักพักก็เดินมานวดใหม่ ใช้เวลา 2 วัน ป้าดีใจมาก ในวันคลินิก มาตรวจรับยา ป้าบัวลองและป้า จันทา จึงได้กลายเป็น
พรีเซนเตอร์ ที่ค่าตัวประมาณการไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้คือ ความรู้ฝังลึก ในตัวผู้ป่วยที่สามารถถ่ายทอดกันเองโดยไม่ต้องพึ่งสื่อหรือเทคโนโลยีที่มีราคาแพงใดๆเลย
สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ การค้นหาปัญหา และการออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม สื่อให้เห็นและจับต้องได้ และให้ผู้ป่วยได้เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตนเอง จะเกิดการเรียนรู้และเปลี่ยนพฤติกรรมได้ยั่งยืน
เป็นประสบการณ์ร่วมที่ดีมากค่ะ เคยใช้ในพื้นที่แล้ว ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน
บางรายไม่เชื่อไม่เห็นความสำคัญถึงขั้นตัดนิ้วเท้า ตัดขา ถึงได้ยอม
แต่ยังไงในฐานะผู้ดูแล เยียวยา ก็ไม่อยากเห็นใครสูญเสียอวัยวะทั้งที่เราสามารถรักษาและป้องกันได้