พุทธศาสนาในกาลปัจจุบัน


พุทธศาสนาในกาลปัจจุบัน

พุทธศาสนาในกาลปัจจุบัน

โดย พงศ์ประสิทธิ์  อ่อนจันทร์

 

ตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสที่จะเข้าร่วมพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาหลายครั้งเช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนทั่วไป จึงได้เห็นว่าพิธีกรรมหลายๆพิธีที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันเป็นเรื่องไร้สาระ สิ้นเปลือง ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย แต่ก็ก้มหน้าก้มตา(อาจจะใช้คำว่า หลับหูหลับตา น่าจะถูกกว่า) ทำไปโดยไม่รู้หรือให้คำตอบกับตนเองไม่ได้ว่าทำไปทำไม เพียงแต่มีคนบอกว่าทำไปเถอะ ทำแล้วชีวิตหลังความตายของตนเองและคนที่ตนเองรัก (ซึ่งไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่)จะสบาย แต่ที่แน่ๆผู้ที่ได้ประโยชน์จากกิจกรรมที่เราทำไปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์ที่หากินกับความเชื่อและความศรัทธาในศาสนา หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีกิจการที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางศาสนา นั้นเอง

หลายพิธีกรรมที่เคยพบ เคยเห็น เคยสัมผัส ก็ให้อดสังสัยไม่ได้ว่า นี่คือสิ่งที่องค์พระศาสดาทรงอยากให้พวกเราปฏิบัติในฐานะเป็นศาสนิกชนของพระองค์ มันไม่น่าจะใช่.. ตัวอย่างเช่น หลายคนก้มหน้าก้มตาสวดมนต์ หรือฟังพระสวด ทั้งที่ไม่รู้ว่าพระสวดอะไร หรือตนเองสวดอะไรอยู่ แค่รู้มาว่าโอกาสไหนต้องสวดอะไร ก็สวดกันไป แต่อย่าถามว่าที่สวดมาแปลว่าอะไร เพราะไม่รู้จริงๆ ขอให้เป็นภาษาบาลีเป็นใช้ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นพระที่มาสวดเองบางรูป ยังไม่รู้เลยว่าที่สวดออกไปในคนอื่นฟังมันแปลว่าอะไรบ้าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรก็เพิ่งบวชมาเมื่อ ๔ วันที่แล้วและจะลาสิกขาวันพรุ่งนี้ แค่จำมาท่องให้คนฟังได้ก็บุญล้นหัวแล้ว คุณพระช่วย บวชแค่ ๕ วัน บวชทำไม? หลายคนก่อนจะบวชจัดงานหมดไปเป็นแสน ฆ่าวัวฆ่าควายนับ ๑๐ ตัว พิมพ์บัตรเชิญเพื่อเชิญคนให้มาร่วมงานทั้งตำบล มีวงดนตรีที่ดีที่สุดมาเล่นในงาน เลี้ยงกันใหญ่โต ทำขวัญนาค ๓ - ๔ ชั่วโมง จนเจ้านาคร้องให้ไปหลายรอบ(ไม่ใช่เพราะซาบซึ่งอะไรหรอก นั่งนานมันเมื่อยมากกว่า) สุดท้ายกลิ่นวัวกลิ่นควายในงานไม่ทันหายจากบริเวณบ้านที่จัดงานก็ลาสิกขาออกมาแล้ว หลายคนบอกว่า บวชไม่กี่วันแหละดีแล้ว พระใหม่ยังไม่ได้ทำผิดมากได้บุญมากดี ถ้าบวชนานก็จะทำผิดมากเดี๋ยวบุญจะหมด  มีอย่างนี้ด้วย! เจริญละศาสนาพุทธ  คิดในใจว่าการบวชก็เหมือนกับการสอบเข้าเรียน สอบได้แล้วไม่เรียนหรือเรียนน้อยจะจบการศึกษาได้อย่างไร  แต่จะโทษคนที่จะบวชฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนัก คนที่มีหน้าที่ในการบวชหรือที่เรียกว่าพระอุปัชฌาย์ บางรูปแหละตัวดี บวชไม่เลือก พอถึงเทศกาลก่อนวันเข้าพรรษาถึงขนาดต้องเดินสายบวช ไปวัดนู้นที วัดนี้ที บวชกันจัง รวยกันใหญ่ เพราะแต่ละนาคถวายให้มิใช่น้อย พวกเศษพระเลยได้เดินกันเต็มวัดไปหมด เอาวัดเป็นแหล่งมั่วสุม จับกลุ่มเสพยาเสพติดกันในวัดบ้าง ไปจัดกลุ่มเล่นการพนันกันในวัดบ้าง ที่จับได้เป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ก็ไม่ใช่น้อย คิดแล้วเสียดายข้าวปลาอาหารของปู่ยาตายายที่ใส่บาตรให้กับพระพวกนี้จัง ปู่ย่าตายายบางคนที่ถึงกับต้องทะเละกับลูกหลานเกือบทุกเช้าเพราะต้องกินข้าวก่อนไปโรงเรียนหรือไปทำงานแต่ปู่ย่าตายายก็อยากนำข้าวนั้นใส่บาตรพระก่อน ถ้าเอาเข้ามากินก่อนใส่บาตรพระจะบาป เรื่องนี้ใครสอนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆพระพุทธองค์คงจะไม่ได้สอนไว้อย่างนี้แน่นอน

เมื่อหันไปดูสถาบันทางสังคมที่จะต้องมีหน้าที่ขัดเกลาสมาชิกรุ่นใหม่ของสังคมให้เป็นคนดีของสังคมและให้เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธศาสนา(ที่เราเรียกกันว่า เป็นพุทธมามะกะที่ดี) ที่สำคัญที่สุดมีอยู่ ๒ สถาบัน ได้แก่ สถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษา ก็ไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้ดีนัก กล่าวคือ สถาบันครอบครัว นับเป็นสถาบันแรกที่จะต้องสอนให้สมาชิกใหม่ของสังคม รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ เป็นสถาบันที่จะต้องขัดเกลาเด็กและเยาวชนให้ได้รู้ ได้เข้าใจ หลัดศีลธรรมขั้นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในฐานะสมาชิกของสังคม แต่ในสังคมที่ให้ความศรัทธาคนกันที่ฐานะทางการเงินมากกว่าฐานะทางความดี อย่างสังคมไทยในปัจจุบันครอบครัวส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวเท่าที่ควรจะทำ เพราะต้องมีภาระในด้านอื่นๆ ที่ให้ทำมากกว่า ครอบครัวจึงโยนภาระดังกล่าวไปให้โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา โดยหวังว่าสถาบันการศึกษาสามารถสอนหรือขัดเกลาให้เด็ก เก่ง และดีได้ แต่การจัดการทางด้านการศึกษาในปัจจุบันหาได้เน้นการเรียนการสอนในด้านคุณธรรมจริยธรรมให้กับเด็กไม่ แต่ไปเน้นสรรพวิชาที่ให้เด็กออกไปเพื่อตอบสนอง ระบบทุนนิยม และวัตถุนิยม เป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เด็กที่จะออกไปมีลักษณะ เก่งแต่ชั่ว มากขึ้น

จากหลายประเด็นดังกล่าวข้างต้น เราไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเด็กและเยาวชนไทยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นบุคคลที่จะต้องเติบโตมาเป็นกำลังหลักที่จะต้องรักษาประเทศชาติและพระพุทธศาสนาจึงได้มีพฤติกรรมห่างเหินจากวัดและไม่เข้าใจในหลักศีลธรรมที่ถูกต้อง  ข้าพเจ้ายังคงคิดไม่ออกว่าอนาคตของพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆหากวันนี้เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ไม่ทำอะไรสักอย่าง ที่จะส่งผลให้องค์ประกอบของพระพุทธเข้ารูปเข้ารอยตามที่ควรจะเป็นแล้ว ศาสนาพุทธ ก็จะไม่ใช่เครื่องมือ หรือวิถีทางที่จะทำให้สังคมไทย อยู่ได้ อยู่ดี และอยู่เย็น อีกต่อไป

คำสำคัญ (Tags): #วัฒนธรรม
หมายเลขบันทึก: 384917เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2010 11:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 03:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ได้แวะเวียนมาอ่าน เห็นด้วยครับ

อยากเห็นหนทาง วันนี้เราหลงทางกันมาไกลแค่ไหน

เข็มทิศเราใช้ได้ดีหรือไม่ เราปรับทิศทางกันหรือยัง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท