วันนี้ได้พูดคุยกับเพื่อนที่ติดสอยห้อยตามกันมา เริ่มตั้งแต่ทำงานด้วยกัน จนกระทั่งมาเรียนต่อ สิ่งแวดล้อมที่เป็นตัวบุคคลก็เหมือนจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ก็คงเปลี่ยนแปลงตามวิถีทางของมัน ในขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นอายเก่าๆ และกลับถิ่นเก่า คือ กรุงเทพมหานคร ซึ่งช่วงหนึ่งของชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดในการเรียนและประกอบอาชีพอยู่ที่นี่
วกกลับมาเรื่องที่พูดคุยมากมายจิปาถะ ทุกเรื่องก็มีประโยชน์ทั้งนั้น หมายรวมแม้กระทั่งเรื่องไร้สาระก็ยังจับสาระได้อยู่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สิ่งที่พูดคุยกันเรื่องหนึ่ง ทำให้ฉุกคิดถึงวิชาชีพก่อนที่จะมาเรียนต่อนั่นคือ การศึกษาพิเศษ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้ทิ้งขว้างหรือหลงลืมอะไร ยังกลับไปทำกิจกรรมกับนักศึกษาเอกการศึกษาพิเศษอยู่อย่างเนืองนิด เพียงแต่กำลังมุ่งมั่นกับศาสตร์ใหม่ คือ การศึกษาตลอดชีวิตและการพัฒนามนุษย์ ที่กำลังศึกษาด้วยการค้นคว้า Lecture และการบ้านที่จะต้องนำเสนอ ทุกวัน ทุกสัปดาห์ อีกมากมายก่ายกอง ขณะนี้ลุล่วงไปแล้ว (ไม่รู้รอดมาได้อย่างไร) และสุดท้ายสิ่งที่ทำให้จบหลักสูตรโดยสมบูรณ์คืองานวิจัย ๓๖ หน่วยกิต เขาเรียกว่า Dissertation และงานวิจัยที่สำเร็จออกมานั้น ต้องได้องค์ความรู้ใหม่และไม่ควรจะขี้เหร่ชนิดที่คนหยิบมาอ่าน "อ่านไปด่าไป" (และ คิดในใจว่าจบมาได้อย่างไรวะ) แต่ก็อาจจะมีจุดบกพร่องบ้างให้คนนำมาวิพากษ์เพื่อเป็นบทเรียนในห้องเรียนของนิสิต นักศึกษา รุ่นน้องๆ ต่อไป เข้าเรื่องดีกว่า สรุปว่าสิ่งที่ได้คุยกับเพื่อนก็ทำให้สะกิดความรู้สึกขึ้นมา จนอยากที่จะเขียนถึง
คำว่า “การศึกษาพิเศษ” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Special Education” ซึ่งผู้เขียนได้ร่ำเรียนมาทางการศึกษาพิเศษ สาขาการศึกษาสำหรับเด็กปัญญาเลิศ ลักษณะการจัดการศึกษาพิเศษของประเทศไทย จัดการศึกษาในระบบ (Formal Education) ๒ แบบ คือ
แบบที่ ๑ การจัดการเรียนร่วม เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนร่วมกับเด็กปกติ (ในหลายๆ ประเทศรวมทั้งเมืองไทยจะพยายามจัดการศึกษาพิเศษในรูปแบบของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive) ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร)
แบบที่ ๒ การจัดการศึกษาในโรงเรียนเฉพาะความพิการ เช่น โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัด.................... โรงเรียน.............................................ปัญญานุกูล โรงเรียนตาบอด......................ฯลฯ
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะกรณี การจัดการเรียนร่วม ภาษาอังกฤษใช้กันอยู่ ๒ คำ คือ Mainstreaming และ Integration ซึ่งมีรายละเอียดต่างกันนิดหน่อย หาอ่านเอานะคะ การจัดการเรียนร่วมมี ๖ รูปแบบ (ศ.ดร.ผดุง อารยะวิญญู. ๒๕๔๒ : ๒๒๑-๒๒๓)
รูปแบบที่ ๑ เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนร่วมกับเด็กปกติในชั้นปกติเต็มเวลา เรียนเหมือนเด็กปกติทั่วไป ลักษณะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษมีความพิการน้อย มีความพร้อมในการเรียน มีภาวะทางอารมณ์และสังคม
รูปแบบที่ ๒ เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติเต็มเวลา และ มีครูการศึกษาพิเศษให้คำแนะนำปรึกษา ไม่ต้องทำการสอน แต่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับ วิธีสอน การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก และประเมินผลพัฒนาการ ของเด็ก
รูปแบบที่ ๓ เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติและรับบริการจากครูเวียนสอน เด็กฯ จะได้รับบริการด้านการสอนเพิ่มเติมจากครูการศึกษาพิเศษซึ่งจะเดินทางไปตามโรงเรียนต่าง ๆ
รูปแบบที่ ๔ เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนร่วมในชั้นปกติและรับบริการในห้องเสริมวิชาการ (resourse room) ครูเสริมวิชาการจะประจำอยู่ในห้องเสริมวิชาการ เด็กที่มีความต้องการพิเศษจะเข้ามาเรียนกับครูเสริมวิชาอย่างน้อยวันละ ๑ – ๒ ชั่วโมง โดยเด็กจะมีตารางเรียนกำหนดไว้
รูปแบบที่ ๕ เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนชั้นพิเศษในโรงเรียนปกติและเรียนร่วมบางเวลา โรงเรียนจัดเด็กที่มีความต้องการพิเศษไว้รวมกันในห้องพิเศษมีครูสอนแทบทุกวิชา และ เรียนร่วมกับเด็กปกติบางวิชา เช่น พลศึกษา ศิลปะ ฯ
รูปแบบที่ ๖ เด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนชั้นพิเศษในโรงเรียนปกติ จัดเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่มีความบกพร่องประเภทเดียวกันไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน และเรียนในชั้นพิเศษตลอดเวลา ลักษณะนี้เหมาะสำหรับเด็กที่มีความพิการค่อนข้างมาก
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ “การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ” คะ
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Children with Special Needs” กินความหมายรวมทั้งเด็กที่มีความบกพร่องประเภทต่าง ๆ ๙ ประเภท และเด็กปัญญาเลิศด้วย ตามมุมมองของผู้เขียน จุดร่วมของการพัฒนาเด็กที่มีความบกพร่องและ เด็กปัญญาเลิศ (ครูควรคัดแยกให้ได้ว่า เด็กมีความเก่งมากกว่าเก่ง ด้วยวิธีการ/เครื่องมือคัดแยกสำหรับเด็กเก่ง จนส่งเสริมให้เป็นปัญญาเลิศ) มีจุดร่วม ๒ ประเด็น ได้แก่
ประเด็นที่ ๑ คือการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP : Individualize Education Program) และแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP : Individual Implementation Plan)
ประเด็นที่ ๒ คือ ดึงจุดเด่นของเด็กมาส่งเสริมและพัฒนา ทั้งเด็กปัญญาเลิศและเด็กที่มีความบกพร่อง
กรณีเด็กเก่งในชั้นเรียน เด็กบางคนอาจเป็นเด็กเก่งธรรมดา เด็กบางคนอาจเก่งกว่าธรรมดา ซึ่งถ้าครูรู้จักเด็กอย่างถ่องแท้ หรือ ครูมีอาการเอ๊ะ!!! เอ๊ะเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา เอ๊ะเด็กคนนี้เก่งนะความคิดความอ่านไม่เหมือนเพื่อน เอ๊ะเด็กคนนี้พูดจาแปลกๆ กว่าเด็กวัยเดียวกัน ภายใต้ข้อสงสัยหรือเอ๊ะของครูนั้น ครูอาจมีวิธีการตรวจสอบหรือคัดแยกเด็กได้หลายรูปแบบ (ถ้าสนใจศึกษาเพิ่มเติมนะคะ มีเครื่องมือคัดแยกเด็กเก่งมากมาย) ครูอาจจะค้นพบว่า ลูกศิษย์เป็นเด็กปัญญาเลิศ และพร้อมจะดึงศักยภาพเพื่อส่งเสริมเด็กได้ถูกทาง เด็กจะได้ใช้ศักยภาพได้เต็มที่ และไม่รู้สึกอึดอัด ที่จะต้องเรียนบทเรียนไปพร้อมๆ กับเพื่อน จริงๆ เด็กปัญญาเลิศต้องการบทเรียนที่ยากขึ้นกว่าเพื่อนในระดับเดียวกัน และซับซ้อนกว่าเด็กเก่งทั่วๆ ไป ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูจะต้องจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลให้แก่เด็กปัญญาเลิศ เพื่อเด็กจะได้ใช้ความสามารถเต็มตามศักยภาพ ขอเน้นอีกครั้งว่าเด็กเก่งธรรมดากับเด็กปัญญาเลิศไม่เหมือนกัน แต่เด็กเก่งธรรมดาอาจเป็นเด็กปัญญาเลิศก็เป็นได้ ถ้าพ่อแม่และครูค้นพบ จะเป็นคุณอนันต์สำหรับเด็ก ซึ่งเด็กรอให้พ่อแม่และครูเจียระไนอยู่ค่ะ
กรณีเด็กที่มีความบกพร่องประเภทต่าง ๆ ที่เรียนร่วมกับเด็กปกติ จำเป็นต้องจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลอยู่แล้ว มุมมองของผู้เขียนคิดว่าการพัฒนาควรจะดึงจุดเด่นของเด็กขึ้นมาส่งเสริมมากกว่าหรือพอๆ กับการหยิบปัญหาขึ้นมาพัฒนาไม่ควรละเลยหรือมองข้ามจุดเด่นเป็นอันขาด ถ้าครูใช้จุดเด่นเป็นตัวตั้ง อาจจะทำให้ครูทำงานง่ายขึ้น และในความเป็นจริงเราไม่จำเป็น จะต้องตอกย้ำปัญหาบนความพิการหรือเริ่มต้นพัฒนาจากปัญหาเพียงอย่างเดียว จากความเชื่อที่ว่า การดึงจุดเด่นมาส่งเสริมอาจจะช่วยฉุดรั้งจุดด้อย/ความบกพร่องให้พัฒนาตามมาด้วย วิธีการอาจนำ จุดเด่นของเด็กที่มีความบกพร่องหรือสิ่งที่เด็กชอบ สนใจ มาวิเคราะห์และสร้างเป็นนวตกรรมเพื่อการพัฒนาเด็ก ก็เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยทำได้ผลมาแล้ว
จากสภาพความเป็นจริงของมนุษย์หรือการคิดถึงใจเขาใจเรา ใครเห็นความสามารถของเราและดึงออกมาใช้ เราคงยินดี ดีใจ อิ่มใจ มีประโยชน์ มีคุณค่า เฉกเช่นเดียวกันเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ถ้าเราจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลโดยเอา จุดเด่นหรือความสามารถเป็นตัวตั้งนั้น สิ่งที่เด็กที่มีความต้องการพิเศษน่าจะได้รับจากอานิสงค์นี้อย่างน้อยสามมิติทั้งทางกายและจิตใจ คือ มิติหนึ่ง เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้รับการส่งเสริมและพัฒนาจุดเด่นเต็มตามศักยภาพ มิติที่สอง นำจุดเด่นหรือสิ่งที่ชอบ สนใจและถนัดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษมาสร้างนวตกรรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาทั้งจุดเด่นและจุดด้อย มิติที่สาม เด็กจะเรียนรู้อย่าง มีความสุขทางกายและจิตใจ
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ครูจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการ “เจียระไนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ : เหลี่ยมเพชรในมือครู”
Kasalong : ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
ไม่มีความเห็น