“ทุกสิ่งในโลกมีเกิดแล้วย่อมมีดับเป็นธรรมดา”
ดิฉันเชื่อว่าทุกท่านคงมีประสบการณ์เกี่ยงกับการได้ดูแล ได้ใกล้ชิดใครสักคนในวาระสุดท้ายของชีวิตมาบ้างไม่มากก็น้อย
เมื่อเหตุการณ์นั้นผ่านไป ท่านได้ลองคิดทบทวนดูสิคะว่า ทำอะไรบ้าง
ดิฉันมีเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตมาแลกเปลี่ยนค่ะ
ความตาย คือ ธรรมชาติที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ทุกคนมักจะปฏิเสธความตาย
วาระสุดท้ายของชีวิต หลายคนก็จะอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ผู้ป่วยไม่คุ้นเคย ญาติก็จะไม่สะดวกในการดูแลผู้ป่วยเนื่องจาก มีเครื่องมือ อุปกรณ์การแพทย์มากมาย ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้ป่วยและญาติ
ผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต ต้องการอะไร
เมื่อรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด และกำลังเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ บางคนจะโมโหร้าย อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย บางคนก็จะรู้สึกเศร้า โดดเดี่ยว ท้อแท้ ผู้ป่วยที่มีสติรู้ตัวดีมักจะอยากมีโอกาสกลับบ้านเพื่อจะได้เห็นสิ่งที่เคยรัก เคยผูกพัน ได้สั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย (ขอกลับไปตายบ้าน)
การได้สัมผัสสิ่งที่รัก ที่ผูกพันจะทำให้เพลิดเพลิน ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจซึ่งจะช่วยให้ลืมความเจ็บปวดได้บ้าง หน้าที่สำคัญยิ่งของผู้ดูแลคือ ช่วยให้ผู้ป่วยทีอาการสงบ ช่วยให้มีสติระลึกถึงกฎของธรรมชาติ ยอมรับความจริงอย่างกล้าหาญ และมีศักดิ์ศรี
หลังจากนั้น ควรเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดระบายความรู้สึก ได้พูดในสิ่งที่ค้างคาใจ และควรทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังที่ดี คอยเป็นเพื่อนให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่อย่างโดยเดี่ยว และพูดถึงสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยมีความภาคภูมิใจ ชื่นชมในความสำเร็จในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผู้ป่วยบางคนก็จะต้องการทำบุญ ถวายสังฆทานโดยเชื่อว่าจะส่งผลให้มีชีวิตที่ในภพหน้า
พึงระลึกเสมอว่าผู้ป่วยใกล้ตายมักมีอาการเหนื่อยเพลีย ต้องการพักผ่อนมากกว่า ควรจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อากาศถ่ายเทสะดวก พยายามรบกวนผู้ป่วยเท่าที่จำเป็นเท่านั้น การสัมผัสควรสัมผัสบริเวณแก้ม ซอกคอ เพราะจะรับความรู้สึกได้ดีกว่าการสัมผัสส่วนปลายเช่น มือ เท้า ประสาทสัมผัสสุดท้ายที่ผู้ป่วยยังมีอยู่คือการได้ยิน แต่ควรพูดให้เสียงดังกว่าปกติ ไม่ใช่กระซิบ
สำหรับกัลยาณมิตรที่มีประสบการณ์ที่แตกต่าง ก็ขอเชิญแลกเปลี่ยนเข้ามาได้นะคะ
สวัสดีค่ะพี่นาถ
ผู้ป่วยกลุ่มนี้น่าเห็นใจมากนะค่ะ การดูแลที่ครอบคลุมทั้งด้านกาย จิต อารมณ์ สังคมและจิตวิญญาณสำคัญมาก ชื่นชมผู้ดูแลที่เข้าใจและใส่ใจพวกเขาค่ะ
ขอบคุณบันทึกดีๆนี้ค่ะ
สวัสดีค่ะ....
เข้าใจอย่างดียิ่งค่ะเพราะมีประสบการณ์จากการดูแลคุณพ่อ ที่เป็นมะเร็งในสมองและต้องผ่าตัด รวมทั้งดูแลรักษาอยู่ในโรงพยาบาลตลอดสามเดือน โดยที่โต้ตอบหรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ลูกๆ ต้องเปลี่ยนกันมาดูแล รวมทั้งจ้างพยาบาลพิเศษเวลาไม่มีใครว่างจริงๆ( แต่น้อยครั้งมาก )
พวกเราช่วยกันดูแลอย่างดีที่สุด จนพยาบาลชมว่าไม่มีแผลกดทับให้เห็นเลยและทุกอย่างต้องอยู่ในสายตาตลอด จนกระทั่งท่านจากไปโดยสงบ..
สวัสดีจ๊ะ อุ้ม
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายนับว่าเป็นเรื่องที่เครียดพอสมควรค่ะ ส่วนมากญาติก็จะไม่กล้าพูดถึงความจริง เพราะกลัวผู้ป่วยจะเสียใจ ทำเหมือนเป็นการซ้ำเติม ส่วนมากจะพูดลักษณะให้กำลังใจ จะพูดอีกอย่างว่าหลอกผู้ป่วยก็คงไม่ผิด ข้อมูลบางอย่างก็เป็นสิทธิที่ผู้ป่วยควรจะได้รับรู้
ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
คิดถึงนะคะ
สวัสดีค่ะ krugui chutima
ชื่นชมนะคะอาจารย์ ที่ได้ทำหน้าที่พึงกระทำของบุตร ทุกคนมีพ่อแม่ได้คนเดียว และท่านก็ตายแค่ครั้งเดียว ถ้าก่อนจากกันชั่วนิรันดร์ได้มีโอกาสได้ดูแล ตอบแทนพระคุณท่านบ้างก็นับเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของคนที่เป็นลูก และท่านก็จะได้ภาคภูมิใจในตัวเรา จากเราไปด้วยจิตใจที่สงบ สมัยนี้บุตรน้อยนักที่จะได้มีโอกาสได้ดูแลพ่อ-แม่ในวาระสุดท้าย เพราะมีภาระกิจต้องรับผิดชอบมากมาย
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณชำนาญ
ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็น และขอโทษที่ตอบ coment ช้าค่ะ
เรื่องจิตวิญญาณเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จะต้องเอื้ออำนวยทั้งเวลาและสถานที่ แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ พยาบาลก็จะเร่งรีบในการดูแลทางกายมากกว่าค่ะ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลระดับตติยภูมิคงทำได้ครอบคลุมมากกว่านะคะ
หลายบทเรียนที่ผ่านมา แต่ละบทไม่เหมือนกัน จนมาบทสุดท้ายต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป มันเป็นความเจ็บปวดที่ทรมาน และซื้อคืนมาไม่ได้ ถ้าย้อนเวลาได้จะทำให้ดีที่สุด และการตัดสินใจผิดพลาด ทำให้เสียใจจนทุกวันนี้ แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ก็ไม่มีความสุขเลยแม้แต่วินาทีเดียว ถ้าแลกได้อยากขอชีวิตเขาคืนมา
สวัสดีค่ะ คุณเทียร์
ใช่ค่ะ ทรัพย์สินเงินทองแลกทุกอย่างไม่ได้ทั้งหมด ทุกอย่างต้องแล้วแต่โอกาส และในช่วงเวลานั้นคุณก็คงอยู่ในสถานการณ์หรือโอกาสไม่เหมาะที่จะทำสิ่งที่ใจอยากทำ ก็เลยทำให้รู้สึกเจ็บปวด โทษตัวเองที่ต้องเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปในช่วงเวลานั้น แต่พระท่านว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" บางครั้งแม่ว่าเราจะทำเต็มที่แล้วสิ่งที่มันจะเกิดก็ต้องเกิดอยู่ดี นึกเสียว่าทำบุญร่วมกันมาแค่นั้น เวลาที่เหลือของเราก็สร้างกรรมดี อุทิศส่วนกุศลไปให้ ขออโหสิกรรมให้กันจะดีกว่าไปหวนคิดถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ เพราะอดีตเราย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ขอเป็นกำลังใจให้สู้ ๆ ต่อไปนะคะ
คุณแม่ผมนอน icu มา 2 สัปดาห์แล้ว เข้าใจถึงความจริงของชีวิต เพียงต้องการให้ท่านได้จากไปอย่างสงบ ขอให้กำลังใจทุกคนที่ต้องอยู่ใน สถานะการณ์
เดียวกัน
ลือศักดิ์
สวัสดีค่ะ คุณลือศักดิ์
ขอเป็นกำลังใจให้อีกแรง ขอให้เข้มแข็ง ผ่านพ้นระยะวิกฤตนี้ไปด้วยดีนะคะ
อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองด้วย
สวัสดีคะพี่ ๆ ทุกคน
ดิฉันก็เป็นลูกอีกคนหนึ่งที่พึ่งจะสูญเสียคุณพ่อไปเมื่อเดือนกันยายน 2553 มันเป็นเหตุการณ์ที่รวดเร็ว เกินกว่าจะตั้งตัว แต่ก็ทำให้พ่อเห็นว่าลูกเข้มแข็ง พ่อจะได้ไม่ห่วง พ่อจากไปด้วยสงบ มันทรมานจิตใจลูกมาก พ่อเคยบอกว่า พ่อไม่อยากไปโรงพยาบาล เพราะกลัวจะไม่ได้กลับบ้าน นั้นคงเป็นความรู้สึกที่พ่อรับรู้ถึงอาการขั้นสุดท้ายที่พ่อกำลังเผชิญ ถึงแม้เราจะได้ยินจากแพทย์ผู้รักษา แต่ไม่เคยบอกให้พ่อรับรู้ เลย พ่อก็บอกกับลูกเสมอว่าอาการพ่อเบาแล้ว ท้องยุบแล้ว แต่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ลูกเห็น พ่ออดทน พ่อสู้เพื่อไม่ให้ลูกอ่อนแอ ไม่ให้ลูกกังวล และพ่อก็จากลูกไป พร้อมการดูแลของลูกในบ้านที่พ่อผูกพันธ์ พ่อดิฉันป่วยเป็นตับแข็งคะ ขอเป็นกำลังใจให้พี่ ๆ ทุกคนสู้เพื่อผู้ป่วยจะได้เข้มแข็ง และต่อสู้กับโรคได้นะคะ
10/7/54 ถ้าหากมีคนที่รักอยู่ในสภาวะระยะสุดท้ายปาฏิหารย์อาจเกิดขึ้นได้ บางคนอาจอยู่ในภาวะตัดสินใจว่าจะดูแลใกล้ชิดคนที่รักอย่างเดียวก่อนหรือจะดูแลและทำงานไปด้วย อยากบอกว่าเวลาของคนที่เรารักอาจเหลือน้อยขอให้ตัดสินใจเลือกดูแลเขาก่อน เพราะถ้าเขาจากไปจะไม่มีคำว่า "เสียใจ" เพราะเราได้ตัดสินใจถูกแล้ว แต่ถ้าคนที่รักรอดถือว่าเป็นอานิสงค์ผลบุญของเราและคนที่เรารักที่จะได้อยู่เป็นกำลังใจซึ่งกันและกันในโลกใบนี้ ระหว่างงานที่รัก กับ คนที่เรารัก ขอให้เวลานี้จงเลือกที่จะดูแลเขาเถิด ตัดสินใจให้ถูก ให้มีสติ แล้วคุณจะรู้สึกว่าครั้งนี้คุณตัดสินใจถูกต้องแล้ว ด้วยความปรารถนาดี.....