เมื่อถึงเวลาต้องโยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งเพื่ออนาคตที่ดี และเพื่อความก้าวหน้าในสายงานเราจะทำอย่างไรเพื่อพิสูจน์ให้คนอื่นยอมรับในความสามารถของเราได้? นั้นเป็นคำถามแรกที่ดิฉันถามตัวเองเมื่อได้รับคำสั่งโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งใหม่ตามความต้องการของตน โดยการทำเรื่องขอเปลี่ยนสายงาน จากแท่งทั่วไป เป็นแท่งวิชาการ เป็นคำถามที่ทำให้ดิฉันคิดกังวลอยู่นานหลายวันทีเดียว และยังไม่สามารถหาคำตอบได้ในทันที ดิฉันหาคำตอบด้วยการลงมือปฏิบัติจริงขณะทำงานและกลับมาทบทวนผลการปฏิบัติงานแต่ละวันของตนเมื่อกลับมาถึงบ้าน ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่เปลี่ยนตำแหน่งมา ดิฉันได้พบคำตอบสำหรับตนเองแล้วว่าดิฉันควรจะทำอย่างไร ซึ่งดิฉันขอนำเสนอจากประสบการณ์ของตนเองเผื่อว่าจะมีประโยชน์สำหรับคนอื่น ๆ ดังนี้ค่ะ
* ควรลบภาพการทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม และสถานที่ทำงานเดิมออกจากความคิดของเราไปก่อนขณะเราปฏิบัติงานในตำแหน่งใหม่ ที่ทำงานใหม่ เพราะเราจะเริ่มมีสภาวะกดดันตัวเราเอง เกิดการเปรียบเทียบระหว่าสถานที่ทำงาน หากบางครั้งบางคราวเผลอหลุดปากเปรียบเทียบที่ทำงานเดิมกับที่ทำงานปัจจุบันของเราไป มีผลอาจทำให้เพื่อนในที่ทำงานใหม่ของเราน้อยใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
- ดิฉันแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยการเริ่มต้นจากศูนย์ในตำแหน่งใหม่ของเรา โดยไม่อายที่จะถามหัวหน้างานที่อยู่เหนือเราตามสายงานเพื่อเป็นความรู้ในการปฏิบัติงาน และไม่อายที่จะถามเจ้าหน้าที่อื่นในเรื่องที่เราไม่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนางานของเราให้มีคุณภาพ ซึ่งผลงานที่ได้นั้นไม่ใช้ของดิฉันคนเดียวแต่เป็นผลงานของสำนักงานและเพื่อนร่วมงานทุกคนทุกตำแหน่งในสำนักงาน
- เมื่อถึงเวลาที่เพื่อนร่วมงานใหม่คุ้นเคยกับเราแล้ว เขาจะทยอยสอบถามเราเกี่ยวกับที่ทำงานเดิมของเราเอง ดิฉันจะเล่าให้ฟังเฉพาะเรื่องที่ดี มีประโยชน์ และสามารถนำมาพัฒนางานในหน้าที่ของคนที่สอบถาม เผื่อว่าอาจมีประโยชน์ในการพัฒนางานในตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบันของเขาได้เท่านั้น โดยจะไม่ก้าวก่ายงานของคนอื่นถ้าหากเขาไม่เต็มใจขอความรู้เพิ่มเติมจากเรา
- มีคำว่าขอบคุณติดไว้ที่ริมฝีปาก เมื่อคนอื่นให้ความช่วยเหลือเรา หรือเมื่อตอนที่เราขอความรู้จากเขาเพราะถือได้ว่าเขาเป็นครู เป็นแม่แบบที่ดีของเราในการปฏิบัติงาน
- พกน้ำใจไปทำงานด้วยทุกครั้ง โดยให้ความช่วยเหลือคนอื่นเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา และปฏิบัติตนกับเพื่อนร่วมงานทุกคนเท่าเทียมกัน
* สิ่งแวดล้อมต่างกันอย่างมาก เป็นเพราะอยู่ที่ทำงานเดิมมาเป็นระยะเวลายาวนานและไม่คิดโยกย้ายไปไหนเพราะเป็นภูมิลำเนาบ้านเกิดของตนเอง ตอนมาใหม่ ๆ จะเครียด และคิดถึงบ้าน, เพื่อนที่ทำงานเดิมเป็นอย่างมาก
- ดิฉันแก้ปัญหาในเรื่องนี้โดยการทำใจ และต้องให้กำลังใจตนเองทุกวัน เพราะการเปลี่ยนตำแหน่งมันเป็นการเปลี่ยนแปลงการดำรงชีวิตประจำวันไปเกือบทั้งหมดของดิฉัน จากที่เคยอยู่บ้านกับพ่อแม่ ไม่เคยมีความรู้สึกร้อนหรือหนาวอะไรในหัวใจเพราะมีคนที่เรารักและรักเราอยู่กับเราตลอดหลังเลิกงานและในวันหยุด มาพบกับความกังวล อ้างว้าง คิดถึงบ้านจับใจ เมื่อเราขอตัวกลับจากการเสวนาหลังเลิกงานกับเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานใหม่ และแก้ปัญหาโดยการขอกำลังใจจากบิดา มารดา โดยได้รับกำลังใจกลับมาเป็นคำปลอบใจว่า "ไม่เป็นไรหรอกลูก ให้อดทนไว้ ต่อความยากลำบาก ความคิดถึง แยกจากกันตอนนี้น่ะดีแล้วเพราะถึงจะรักพ่อกับแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ขนาดไหน สักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี จากกันตอนเป็นดีกว่าจากกันตอนตาย จะได้ทำใจได้ และเข้มแข็งเมื่อถึงวันที่เราต้องพรากจากบุคคลซึ่งเป็นที่รักของเราอย่างถาวร"
- เขียนคำร้องขอย้ายทุกครั้งเมื่อถึงรอบระยะเวลาการยื่นเรื่อง คงมีสักวันน่ะที่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน (มีคนบอกดิฉันว่าจะอยู่ที่ไหน ๆ ในประเทศไทย หากเราเป็นข้าราชการที่ดี ทำงานในหน้าที่รับผิดชอบให้สุดกำลังความสามารถเราก็อยู่ที่นั้นได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่เสียแรงที่สอบแข่งขันเข้ามาเป็นข้าราชการได้ ถึงหน่วยงานเจ้ากระทรวงจะไม่พิจารณาให้โยกย้ายก็อยู่ไปเถอะอย่างน้อยก็ได้สร้างคุณงามความดีให้คนที่เราไปอาศัยทำงานในพื้นที่ของเขา)
สวัสดีค่ะ
มาแวะทักทายตอนดึกๆๆๆๆค่ะ
หน้าที่ใหม่ ท้าทายความสามารถ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ