พื้นฐานนาฏศิลป์ไทยเบื้องต้น
ที่มาของนาฏศิลป์ไทย
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเป็นเอกราชมาช้านาน
มีศิลปวัฒนธรรมแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ จนเป็นที่ชื่นชอบ
ของนานาประเทศที่ได้พบเห็นความงดงามในศิลปวัฒนธรรมไทย แม้ในปัจจุบัน
ประเทศไทยกำลังได้รับอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมจากต่างชาติกันหลากหลาย
ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามามีบทบาทในสังคมไทย แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยยังสามารถอนุรักษ์และสืบทอดได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือ นาฏศิลป์ อันเป็นศิลปะประจำชาติที่คนไทยทุกคนควรอนุรักษ์และให้การสนับสนุน เพื่อให้ศิลปะแขนงนี้ดำรงอยู่สืบไป ในอนาคต
ความหมายของคำว่า “นาฏศิลป์”
นาฏศิลป์ มาจากคำว่า “นาฏ” กับคำว่า “ศิลปะ”
นาฏ คือ การร่ายรำและการเคลื่อนไหวไปมา
ศิลปะ คือ การแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นอย่างงดงาม น่าพึงชมก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ
เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกันมีผู้ให้ความหมายต่าง ๆ กัน ดังนี้
นาฏศิลป์ คือ ศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรำ
นาฏศิลป์ คือ การฟ้อนรำ
นาฏศิลป์ คือ ความช่ำชองในการฟ้อนรำ
นาฏศิลป์ คือ การร้องรำทำเพลง ให้ความบันเทิงใจ อันประกอบด้วยความโน้มเอียงแห่งอารมณ์และความรู้สึก
สรุปได้ว่า “นาฏศิลป์” คือ ศิลปะการร้องรำทำเพลงที่มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์โดยประดิษฐ์ขึ้นอย่างประณีตและมีแบบแผน ให้ความรู้ความบันเทิง
ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ยังคงให้เห็นถึงวัฒนธรรมความรุ่งเรืองของชาติได้เป็นอย่างดี
ความสำคัญของนาฏศิลป์
นาฏศิลป์ เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าศิลปะแขนงอื่นๆ
ความสำคัญของนาฏศิลป์มีดังนี้
1. นาฏศิลป์ แสดงความเป็นอารยประเทศ บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองดี
ก็ด้วยประชาชนมีความเข้าใจศิลปะ เพราะศิลปะเป็นสิ่งมีค่าเป็นเครื่องโน้มน้าวอารมณ์ ให้ไปในทางที่ดีเป็นแนวทางนำให้คิด และให้กำลังใจในการที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมืองสืบไป
2. นาฏศิลป์เป็นแหล่งรวมศิลปะ ประกอบด้วยศิลปะประเภทต่าง ๆ
มาเกี่ยวข้องสอดคล้องกัน เช่น ศิลปะการเขียน การก่อสร้าง การออกแบบ
เครื่องแต่งกาย และวรรณคดี ศิลปะแต่ละประเภทได้จัดทำกันด้วยความประณีตสุขุม
ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยศิลปะเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของชาติ มนุษย์ทุกชาติทุกภาษา
ต้องมีศิลปะของตนไว้เป็นประจำ นับแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้ รวมความว่า
นาฏศิลป์มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกันทั้งสิ้น สร้างความเป็นแก่นสารให้แก่บ้านเมืองด้วยกันทั้งนั้น
การเกิดนาฏศิลป์
นาฏศิลป์ หรือศิลปะแห่งการแสดงละครฟ้อนรำนั้นมีมูลเหตุที่เกิด ดังนี้
1. เกิดจากที่มนุษย์ต้องการแสดงอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ให้ปรากฏ
โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการสื่อความหมายเป็นสำคัญ เริ่มตั้งแต่
1.1 มนุษย์แสดงอารมณ์ตามธรรมชาติออกมาตรง ๆ เช่น
การเสียใจก็ร้องให้ ดีใจถูกใจก็ตบมือส่งเสียงหัวเราะ
1.2 เกิดจากการที่มนุษย์ต้องการเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีต่างๆ ที่นำไปสู่การรำเพื่อบูชาสิ่งที่ตนเคารพตามลัทธิศาสนาของตน ต่อมาจึงเกิดเป็นความเชื่อ
ในเรื่องเทพเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่เราเคารพบูชา โดยเริ่มจาก
การวิงวอนอธิษฐาน จนถึงสุดท้ายมีการประดิษฐ์เครื่องดนตรี ดีด สี ตี
และเป่า การเล่นดนตรี การร้องและการรำเกิดขึ้นเพื่อให้เทพเจ้า
เกิดความพอใจมากยิ่งขึ้น
1.3 เกิดจากการที่มนุษย์คิดประดิษฐ์หาเครื่องบันเทิงใจ หลังจากหยุดพัก
จากภารกิจประจำวัน เริ่มแรกอาจเป็นการเล่านิทาน นิยาย
มีการนำเอาดนตรี และการแสดงท่าทางต่าง ๆ ประกอบเป็นการร่ายรำ
จนถึงขั้นแสดงเป็นเรื่องราว
1.4 เกิดจากการเล่นเลียนแบบของมนุษย์ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ในขั้นต้นของมนุษย์ นำไปสู่การสร้างสรรค์ศิลปะแบบต่าง ๆ นาฏศิลป์ก็เช่นกัน จะเห็นว่ามนุษย์นิยมเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ทั้งจากมนุษย์เองสังเกตจากเด็ก ๆ ชอบแสดงบทบาทสมมุติเป็นพ่อเป็นแม่ในเวลาเล่นกัน เช่น การเล่นตุ๊กตา การเล่นหม้อข้าวหม้อแกง หรือเลียนแบบจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทำให้เกิดการเล่น เช่น การเล่นงูกินหาง การแสดงระบำนกยูง ระบำม้า เป็นต้น
ความมุ่งหมายในการเรียนนาฏศิลป์
การเรียนนาฏศิลป์มีความมุ่งหมายดังนี้
1. เพื่อเป็นการปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยทางศิลปะแก่ผู้เรียน
2. เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น
3. เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป
4. เพื่อเป็นการฝึกให้รู้จักกล้าแสดงออก
ประโยชน์ในการเรียนนาฏศิลป์
การเรียนนาฏศิลป์ทำให้เกิดประโยชน์ดังนี้
1. ทำให้เป็นคนรื่นเริงแจ่มใส
2. มีความสามัคคีในหมู่คณะ
3. สามารถยึดเป็นอาชีพได้
4. ทำให้รู้จักดนตรีและเพลงต่าง ๆ
5. ทำให้เกิดความจำและปฏิภาณดี
6. ช่วยให้เป็นคนที่มีบุคลิกท่าทางเคลื่อนไหวสง่างาม
7. ช่วยในการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
8. ได้รับความรู้นาฏศิลป์จนเกิดความชำนาญ สามารถปฏิบัติได้ดีมีชื่อเสียง
คุณสมบัติของผู้เริ่มเรียนนาฏศิลป์
การเรียนนาฏศิลป์ผู้ที่เริ่มเรียนควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. ต้องมีความสนใจและตั้งใจจริง
2. ต้องทำใจให้รักและนิยมในศิลปะแขนงนี้
3. ต้องมีสมาธิแน่วแน่ในขณะปฏิบัติ
4. ต้องเป็นผู้ที่ช่างสังเกต
5. ต้องพยายามเลียนแบบครูให้มากที่สุด
6. ต้องเป็นผู้ที่ไม่ท้อถอยต่อความยากของบทเรียน หรือความเมื่อยล้า
ที่เกิดขึ้น
7. ต้องเป็นผู้ที่ขยันในการทบทวนฝึกซ้อมท่ารำอยู่สม่ำเสมอ
นาฏยศัพท์
นาฏยศัพท์ หมายถึง ศัพท์ที่เกี่ยวกับลักษณะท่ารำ
ที่ใช้ในการถ่ายทอดและฝึกหัดในการรำนาฏศิลป์ไทย
ซึ่งจะใช้คำนาฏยศัพท์เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดท่ารำ
ซึ่งนักเรียนจะต้องเป็นผู้ที่รู้จักในเรื่องของนาฏยศัพท์มาแล้ว
จะทำให้การสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนเป็นไปอย่างราบรื่น
นาฏยศัพท์ที่ควรทราบในพื้นฐานเบื้องต้น มีดังนี้
1. ตั้งวง
เป็นลักษณะของลำแขนที่ทอดโค้ง ปลายนิ้วตั้งขึ้น นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกัน นิ้วหัวแม่มือหักเข้าหาฝ่ามือเล็กน้อย หักข้อมือเข้าหาลำแขน
การตั้งวง มีดังนี้
1.1 วงล่าง
ตัวนาง - ตั้งวงระดับชายพก หรือระดับหัวเข็มขัด
ตัวพระ - ตั้งวงระดับชายพก หรือระดับหัวเข็มขัด
กันข้อศอกให้วงกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 2 แสดงการตั้งวงล่าง
1.2 วงกลาง
ตัวนาง - ตั้งวง ปลายนิ้วอยู่ระดับไหล่ โค้งลำแขนมาข้างหน้าเล็กน้อย
ตัวพระ - ตั้งวง ปลายนิ้วอยู่ระดับไหล่ กันวงกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 3 แสดงการตั้งวงกลาง
1.3 วงบน
ตัวนาง - ตั้งวง ปลายนิ้วสูงระดับหางคิ้ว โค้งลำแขนมาข้างหน้าเล็กน้อย
ตัวพระ - ตั้งวง ปลายนิ้วสูงระดับแง่ศีรษะ กันวงกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 4 แสดงการตั้งวงบน
1.4 วงหน้า
ตัวนาง - ตั้งวงอยู่ด้านหน้า ระดับปาก โค้งลำแขนมาข้างหน้า
ตัวพระ - ตั้งวงอยู่ด้านหน้า ระดับปาก โค้งลำแขนมาข้างหน้า
กันข้อศอกให้วงกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 5 แสดงการตั้งวงหน้า
1.5 วงบัวบาน
ตัวนาง - มือทั้งสอง ดึงจีบขึ้นมาแล้วคลายจีบตั้งวง
หงายฝ่ามือขึ้น ปลายนิ้วชี้เฉียงออกมาด้านหน้าข้างลำตัว
หักข้อศอก ให้แขนท่อนล่างพับเข้าหาลำตัว
ข้อศอกสูงระดับไหล่ มืออยู่ระดับหางคิ้ว
ตัวพระ - มือทั้งสอง ดึงจีบขึ้นมาแล้วคลายจีบตั้งวง
หงายฝ่ามือขึ้น ปลายนิ้วชี้เฉียงออกมาด้านหน้าข้างลำตัว
หักข้อศอก ให้แขนท่อนล่างพับเข้าหาลำตัว
ข้อศอกสูงระดับไหล่ มืออยู่ระดับแง่ศีรษะ
กันข้อศอกออกกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 6 แสดงการตั้งวงบัวบาน
2. จีบ
เป็นลักษณะของการใช้นิ้วหัวแม่มือ จรดข้อแรกของปลายนิ้วชี้
นิ้วที่เหลือทั้งสาม กรีดออกให้มากที่สุดคล้ายรูปพัด หักข้อมือเข้าหาท้องแขน
ภาพที่ 7 แสดงลักษณะการจีบ
การจีบ แบ่งออกดังนี้
2.1 จีบคว่ำ
ตัวนาง - คว่ำมือจีบ ให้ปลายนิ้วที่จีบ ชี้ลงข้างล่างหักข้อมือเข้าหาท้องแขน
ตัวพระ - คว่ำมือจีบ ให้ปลายนิ้วที่จีบ ชี้ลงข้างล่างหักข้อมือเข้าหาท้องแขน
วงแขนกันออกกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 8 แสดงลักษณะจีบคว่ำ
2.2 จีบหงาย
ตัวนาง - หงายมือจีบ ให้ปลายนิ้วที่จีบชี้ขึ้นข้างบน หักข้อมือเข้าหาท้องแขน
ตัวพระ - หงายมือจีบ ให้ปลายนิ้วที่จีบชี้ขึ้นข้างบน
หักข้อมือเข้าหาท้องแขน วงแขนกันออกกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 9 แสดงลักษณะจีบหงาย
2.3 จีบปรกหน้า
ตัวนาง - จีบหงาย ดึงมือจีบอยู่ด้านหน้า หันปลายนิ้วเข้าหาหน้าผาก
หักข้อมือเข้าหาท้องแขน
ตัวพระ - จีบหงาย ดึงมือจีบอยู่ด้านหน้า หันปลายนิ้วเข้าหาหน้าผาก
หักข้อมือเข้าหาท้องแขน วงแขนกันออกกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 10 แสดงลักษณะจีบปรกหน้า
2.4 จีบปรกข้าง
ตัวนาง - จีบหงาย ดึงมือจีบมาอยู่ด้านข้าง หันปลายนิ้วเข้าหาศีรษะ
หักข้อมือเข้าหาท้องแขน
ตัวพระ - จีบหงาย ดึงมือจีบมาอยู่ด้านข้าง หันปลายนิ้วเข้าหาศีรษะ
หักข้อมือเข้าหาท้องแขน วงแขนกันออกกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 11 แสดงลักษณะจีบปรกข้าง
2.5 จีบหงายระดับชายพก
ตัวนาง - จีบหงายระดับชายพกหรือระดับหัวเข็มขัด หักข้อมือเข้าหาท้องแขน
ตัวพระ - จีบหงายระดับชายพก หรือระดับหัวเข็มขัด
หักข้อมือเข้าหาท้องแขน กันข้อศอกกว้างกว่าตัวนาง
ภาพที่ 12 แสดงลักษณะจีบหงายระดับชายพก
2.6 จีบส่งหลัง
ตัวนาง - จีบหงายส่งมือไปข้างหลัง ลำแขนเหยียดตึง
พยายามให้แขนที่ส่งไปข้างหลังห่างจากลำตัว
ปลายนิ้วที่จีบชี้ขึ้นข้างบน
ตัวพระ - จีบหงาย ส่งมือไปข้างหลัง ลำแขนเหยียดตึงพยายามให้แขน
ที่ส่งไปข้างหลังห่างจากลำตัว ปลายนิ้วที่จีบชี้ขึ้นข้างบน
ภาพที่ 13 แสดงลักษณะจีบส่งหลัง
3. นาฏยศัพท์ส่วนเท้า
นาฏยศัพท์ส่วนเท้า คือ การใช้ร่างกายในส่วนของเท้าเคลื่อนไหว
เพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายในส่วนอื่นได้อย่างถูกต้องสวยงาม ตามแบบนาฏศิลป์ไทย ดังนี
3.1 จรดเท้า
ตัวนาง - เท้าวางเหลื่อมกันเล็กน้อย เท้าข้างหนึ่งวางราบกับพื้นรับน้ำหนักตัว
เท้าอีกข้างใช้จมูกเท้าแตะลงบนพื้น และเปิดส้นเท้าขึ้นจากพื้น
ตัวพระ - เท้าวางเหลื่อมกันเล็กน้อย เท้าข้างหนึ่งวางราบกับพื้นรับน้ำหนักตัว
เท้าอีกข้างใช้จมูกเท้าแตะกับพื้น และเปิดส้นเท้าขึ้นจากพื้น
กันเข่าออกให้ได้เหลี่ยม
ภาพที่ 15 แสดงลักษณะการจรดเท้า
3.2 วางส้น
ตัวนาง - วางเท้าลงทางด้านหน้าด้วยส้นเท้าแตะกับพื้น ปลายเท้าเชิดขึ้น
เท้าอีกข้างที่วางอยู่รับน้ำหนักตัวในลักษณะหันปลายเท้าเฉียงออกไป
ด้านข้างเล็กน้อย ย่อและหนีบเข่า
ตัวพระ - วางเท้าลงทางด้านหน้าด้วยส้นเท้าแตะกับพื้น ปลายเท้าเชิดขึ้น
เท้าอีกข้างที่วางอยู่รับน้ำหนักตัวในลักษณะหันปลายเท้าเฉียง
ออกไปด้านข้าง ย่อและกันเข่าออกให้ได้เหลี่ยม
ภาพที่ 16 แสดงลักษณะการวางส้น
3.3 กระทุ้ง
ตัวนาง - วางเท้าข้างหนึ่งไว้ข้างหลังเปิดส้นเท้า กระทุ้งด้วยจมูกเท้ากับพื้นเบา ๆ เท้าอีกข้างหนึ่งวางยืนรับน้ำหนักตัว ย่อและหนีบเข่า
ตัวพระ - วางเท้าข้างหนึ่งไว้ข้างหลังเปิดส้นเท้า กระทุ้งด้วยจมูกเท้ากับพื้นเบา ๆ เท้าอีกข้างหนึ่งวางยืนรับน้ำหนักตัว ย่อและกันเข่าออกให้ได้เหลี่ยม
ภาพที่ 17 แสดงลักษณะการกระทุ้ง
3.4 กระดก
ตัวนาง - เป็นท่าสืบเนื่องมาจากท่ากระทุ้ง แล้วยกขึ้นข้างหลัง
หนีบน่องดันเข่าไปข้างหลัง หักปลายเท้าลง
ตัวพระ - เป็นท่าสืบเนื่องมาจากท่ากระทุ้ง แล้วยกขึ้นข้างหลังดันเข่า
ไปข้างหลัง หักปลายเท้าลง กันเข่าออกให้ได้เหลี่ยม
ภาพที่ 18 แสดงลักษณะการกระดกเท้า
3.5 ก้าวข้าง
ตัวนาง - ก้าวเท้าข้างใดข้างหนึ่งในลักษณะเฉียงออกข้างเท้าอีกข้าง
ที่ยืนอยู่พร้อมทั้งหลบเข่า น้ำหนักตัวอยู่เท้าที่ก้าวข้าง
ตัวพระ - ก้าวเท้าข้างใดข้างหนึ่งในลักษณะเฉียงออกข้างเท้าอีกข้าง
ที่ยืนอยู่ กันเข่าออกให้ได้เหลี่ยม
ภาพที่ 19 แสดงลักษณะการก้าวข้าง
3.6 ก้าวหน้า
ตัวนาง - ก้าวเท้าไปข้างหน้า ลักษณะปลายเท้าที่ก้าวจะเฉียงไปทางด้านข้างเล็กน้อย ห่างจากส้นเท้าหลังประมาณหนึ่งคืบ เท้าหลังอยู่ในลักษณะเปิดส้น
ตัวพระ - ก้าวเท้าไปข้างหน้า กันเข่าออกให้ได้เหลี่ยม ปลายเท้าที่ก้าวจะเฉียงไปทางด้านข้างเล็กน้อย ให้ส้นเท้าหน้าอยู่ในแนวเดียวกันกับหัวแม่เท้าหลัง
ห่างกันประมาณหนึ่งคืบ เท้าหลังอยู่ในลักษณะเปิดส้น
ภาพที่ 20 แสดงลักษณะการก้าวหน้า
3.7 ประเท้า
ตัวนาง - เท้าข้างใดข้างหนึ่ง วางส้นและใช้จมูกเท้าปรบพื้นเบา ๆ แล้วยกขึ้น เท้าอีกข้างหนึ่งย่อเข่า รับน้ำหนักตัว
ตัวพระ - เท้าข้างใดข้างหนึ่ง วางส้นและใช้จมูกเท้าปรบพื้นเบา ๆ แล้วยกขึ้น เท้าอีกข้างหนึ่งย่อเข่า รับน้ำหนักตัว กันเข่าออกให้ได้เหลี่ยม
ภาพที่ 21 แสดงลักษณะการก้าวประเท้า
3.8 ยกเท้า
ตัวนาง - เป็นท่าต่อเนื่องจากการประเท้า แล้วยกเท้าขึ้นสูงระดับกลางน่องของขาอีกข้างหนึ่งที่ยืนรับน้ำหนักตัว ปลายเท้าที่ยกไปด้านข้าง
เล็กน้อย และกระดกปลายนิ้วเท้าให้งอนขึ้น
ตัวพระ - เป็นท่าต่อเนื่องจากการประเท้า แล้วยกเท้าขึ้นสูงระดับกลางน่องของขาอีกข้างหนึ่งที่ยืนรับน้ำหนักตัว ปลายเท้าที่ยกไปด้านข้างเล็กน้อย และกระดกปลายนิ้วเท้าให้งอนขึ้น
ภาพที่ 22 แสดงลักษณะการยกเท้า
ภาษาท่านาฏศิลป์
ภาษาท่านาฏศิลป์ คือ การแสดงท่าทางแทนคำพูด รวมทั้งการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ภาษาท่าเป็นการใช้ภาษาอย่างหนึ่งที่วิวัฒนาการมาจากธรรมชาติแล้วนำมาปรับแต่งท่าทางให้งดงามมากขึ้น
ภาษาท่านาฏศิลป์ ที่มาจากท่าทางธรรมชาติของมนุษย์
สวัสดีค่ะ
ยินดีที่รู้จักค่ะคุณครูอิงจันทร์ ณ เรือนปั้นหยา
ยินดีมากเลยค่ะ ที่คุณครูนำไปเป็นสื่อการสอน
เดี๋ยวจะลงเพิ่มเติมอีกค่ะ อย่าลืมมาเยี่ยมอีกนะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ
Awesome ;-) ;-) ;-) Thank you. Waiting for more.
May we see pictures of foot/leg movements too, please? And how do these movements correlate to 'verbal'/'emotional'/... expressions so we understand what the dance is saying to us?
ขอบคุณค่ะจะเป็นสื่อการสอนในเทอมหน้าค่ะ
ค่ะครู
หนูเด็ก ช.น. สระบุรี
ฝันดี ค่ะ่
ขอให้มีความสุข ในการสอน
ชื่อ บุษราชิมิ
ขอบคุณค่