จากที่ผู้เขียนได้ศึกษารายวิชา Advanced Research Methodology กับ รศ.ดร. อรุณี อ่อนสวัสดิ์ จึงอยากแบ่งปันความรู้ที่ได้รับให้กับเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่าน Blog หากมีข้อมูลส่วนใดที่เป็นประโยชน์ ผู้ที่เข้ามาอ่าน Blog สามารถนำไปใช้ได้ผู้เขียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่หากมีข้อมูลส่วนใดที่ไม่ถูกต้อง ผู้เขียนต้องกราบขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย และพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับทุกท่านด้วยความยินดี สำหรับครั้งนี้จะเขียน เรื่อง ความจริงและการค้นพบความจริง เริ่มเลยนะคะ...
วิจัย (Research) คือ การค้นหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการที่เป็นระบบระเบียบ น่าเชื่อถือ คำถามต่อไป คือ ความจริง คืออะไร โดยมีนักปรัชญา 3 กลุ่ม ตอบเอาไว้ ดังนี้
(1) กลุ่มเอกนิยม (Monism) : กล่าวว่า ความจริง มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ดังนี้
1.1 ความจริง คือ จิต หรือ แบบ (Mind/Form) อย่างเดียวเท่านั้น จัดเป็นพวกจิตนิยม (Idealism) เชื่อว่าจิตเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่มีการสูญหาย จิตเป็นนิจนิรันดร์
1.2 ความจริง คือ กาย หรือ สสาร (Body/Material) อย่างเดียวเท่านั้น จัดเป็นพวกสสารนิยม (Materialism) เชื่อว่าร่างกายเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เพราะสามารถจับต้องได้ ในขณะที่จิตไม่สามารถจับต้องได้ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น
(2) กลุ่มทวินิยม (Dualism) : กล่าวว่า ความจริง มีสองส่วน ได้แก่ จิตและกาย (Mind and Body) โดยทั้งสองสิ่งนี้แยกออกจากกันไม่ได้
(3) กลุ่มพหุนิยม (Pluralism) : กล่าวว่า ความจริงมีมากกว่า 2 สิ่งขึ้นไป เช่น มนุษย์ที่ประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือประกอบด้วยขันธ์ 5 เป็นต้น
สรุป คือ การจะบอกว่า ความจริง คืออะไรนั้น สามารถตอบได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของบุคคล
วิธีการค้นพบความจริง (Epistemology)
ยุคโบราณ มีวิธีการค้นพบความจริง คือ การถามจากผู้มีอำนาจ การไปเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การสังเกตด้วยตนเอง การลองผิดลองถูก การเรียนรู้โดยบังเอิญ เช่น อาร์คิมิดีส
ยุคก่อนปัจจุบัน ใช้วิธีการค้นพบแบบ (1) นิรนัย [Deductive] (2) อุปนัย [Inductive]
ยุคปัจจุบัน ใช้วิธีการค้นพบแบบ (1) กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ [Science Process] (2) การวิจัย [Research] (3) การนิรนัย และ อุปนัย [Deductive and Inductive]
** การอุปนัย [Inductive] มี 2 แบบ ได้แก่
1) อุปนัยสมบูรณ์ [Complete Inductive] : Survey all of group เช่น สำรวจนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรชั้นปีที่ 4 ทุกคน เกี่ยวกับอาหารไทยที่ชอบรับประทาน
2) อุปนัยไม่สมบูรณ์ [Incomplete Inductive] : Sampling เช่น สุ่มนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรชั้นปีที่ 4 มา 80% และสอบถามเกี่ยวกับอาชีพของผู้ปกครอง
** นิรนัย [Deductive] เป็นการค้นพบความจริงโดยอาศัยความรู้ทั่วไป ความรู้ย่อย และทำให้ได้ความรู้ใหม่ในที่สุด เช่น
ความรู้ทั่วไป : ปลาทุกตัวออกลูกเป็นไข่
ความรู้ย่อย : หางนกยูงเป็นปลา
ความรู้ใหม่ : หางนกยูงออกลูกเป็นไข่ ** ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้
จุดอ่อนของการใช้หลักนิรนัย คือ - ความรู้ใหม่ไม่งอกเงยจากความรู้เดิม - ข้อสรุปของความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นอาจไม่ถูกต้องก็ได้
วิธีการค้นพบความจริงของกลุ่มต่างๆ ...
(1) กลุ่มเอกนิยม (Monism) พวกจิตนิยม (Idealism) จะใช้เหตุผลและการหยั่งรู้ (Rational and Insigh)
เหตุผลนิยม (Rationalism) : การครุ่นคิดอย่างมีเหตุผล ใช้หลักนิรนัยในการค้นพบความจริง เชื่อว่าความจริงเป็นนิรันดร์
ประจักษ์นิยม (Empricism) : อาศัยประสบการณ์ และ สัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย ใช้หลักอุปนัย ในการค้นพบความจริง เชื่อว่าความจริงไม่มีอยู่ก่อนนิรันดร์
พวกสสารนิยม (Materialism) จะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการค้นหา ทดลอง ปฏิบัติ
(2) กลุ่มทวินิยม (Dualism) ใช้เหตุผล การหยั่งรู้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การฝึกและประสบการณ์ในการค้นพบความจริง
(3) กลุ่มพหุนิยม (Pluralism) ใช้เหตุผล การหยั่งรู้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การฝึกและประสบการณ์ในการค้นพบความจริง
ไม่ว่าใครก็คงใช้วิธีการเหล่านี้เช่นกัน อาจจะรู้หรือไม่รู้ว่าเรียกวิธีอะไร
แต่เมื่อเรารู้ว่าแบบนี้เรียกวิธีนี้ แบบนั้นเรียกวิธีนั้น เราก็สื่อสารกันได้งชสะดวกขึ้น
กับเราน่าจะใช้หลายๆวิธีร่วมกัน จะได้มั่นใจในความถูกหรือผิดยิ่งขึ้น
การเขียนคืองานสร้างสรรค์เชิงความคิด