คนในสังคมส่วนใหญ่แล้วนับถือกันที่ Explicit Knowledge หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า "ปริญญา"
ปริญญาหรือใบประกาศที่เราไปนั่งฟังบุคคลที่เราเรียกว่า "อาจารย์" นั้นพูด เขียน บรรยาย เป็นเอกสาร ตำรา หรือนั่งฟังเนื้อหาในห้องเรียน ซึ่งอาจารย์ส่วนใหญ่นั้นก็ไปร่ำ ไปเรียน ก็คือ ไปฟังจากอาจารย์ของอาจารย์มาอีกที "ฟังกันมาเป็นทอด ๆ อ่านตามกันมาเป็นแถว ๆ..."
แต่ความรู้อีกสายหนึ่งนั้น เป็นความรู้ที่ได้มาจากคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางด้านครอบครัว สังคม ฐานะ อะไรต่ออะไร เขาจำเป็นที่จะต้องออกมาทำงานแต่เด็ก แต่เล็ก ในทุกย่างก้าวของเขาคือ "การปฏิบัติ"
คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จบแค่ ม.3 ม.6 คนในสังคมมักดูถูก เหยีดหยามว่าเขาต้อยต่ำทางความรู้ แต่ที่จริงแล้วคนเหล่านั้นเป็นปราชญ์ผู้ทรงความรู้ และที่สำคัญเป็น "ความรู้ที่ฝังลึก (Tacit Knowledge)"
ถ้าหากเราตั้งใจจะเป็นผู้เรียนรู้ที่ดีแล้ว พึงศรัทธาที่เนื้อในของความรู้ พึงละเสียซึ่งความศรัทธาปริญญาอันเป็นหน้ากากของความรู้ เมื่อเราศรัทธาต่อ Tacit Knowledge อย่างแท้จริงแล้ว เมื่อนั้นเราจะเข้าถึง "ปัญญา" ที่แท้จริง...
อุปสรรคสำคัญที่เราจะเข้าถึงปัญญาของผู้อื่นนั้นก็คือ "ทิฏฐิ มานะ" ของตนเอง
เรามักสำคัญตนเองว่าเก่งกว่า ดีกว่า รวยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เรียนจบมาสูงกว่า" และอะไรต่ออะไรที่กว่า ๆ ของเรานั้นก็จะพาให้เราเป็น "น้ำชาที่ล้นถ้วย"
แต่ถ้าหากเรามีศรัทธาต่อ Tacit Knowledge อย่างแท้จริงแล้วนั้น เราจะไม่สนใจว่าคน ๆ นั้นจะเตี้ย ล่ำ ดำ สูง จะสวย จะหล่อ จะสวย จะเรียนจบชั้นใด มีการศึกษาแค่ไหน แต่ขอเพียงใจเรารู้ว่าเขามี "ประสบการณ์" ที่เคยผ่านงานใด ๆ มาด้วยอายตนะทั้ง 6 ของเขาแล้ว เราย่อมจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากเขาได้มากหลาย
ทะเลนั้นเป็นราชาแห่งแม่น้ำด้วยเหตุเพราะดำรงตนให้ต่ำกว่าแม่น้ำฉันใด บุคคลที่จะยิ่งใหญ่ด้วยความรู้จากสรรพสิ่งได้ พึงลดทอนทิฏฐิมานะของตนเพื่อดำรงจิตใจให้ต่ำดั่งทะเลซึ่งพร้อมรับความรู้ที่หลากหลายจากสรรพสิ่งอันยิ่งใหญ่ได้ฉันนั้น...
สังคมเรา มักจะวัดคนกันที่ ใบปริญญา เกรดเฉลี่ย ได้ปริญญาหลายใบ ได้เกรดเฉลี่ยเยอะนั้น เป็นคนที่เก่ง แล้วมองข้ามคนที่อาจจะไม่มีโอกาสเหล่านั้น แต่มี Tacit ในตัวสูง ซึ่งบางทีความสามารถที่มีนั้น อาจจะมีความชำนาญกว่าคนที่เรีียนเก่งก็เ็ป็นได้
ถ้าเพียงแต่ให้โอกาส ให้เวที ให้การยอมรับความคิดเห็นกัน สังคมไทยของเราก็จะพัฒนามากกว่าที่เป็นอยู่นี้
ในโรงเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยก็มักที่จะคัดคนที่จะเข้าไป "สอนคน" ด้วยใบปริญญา
คนเรียนเก่งจบเมืองนอก เมืองนา ที่มีใบปริญญาหรู ๆ หรา ๆ มักจะได้โอกาสเข้าไปเป็น "อาจารย์"
คนที่จะเป็นครู เป็นอาจารย์คนอื่นได้มิใช่จะต้องมีคุณสมบัติมากกว่านั้นหรือ
คำตอบนั้นเริ่มถูกตีแผ่ออกมาเมื่อนักศึกษาเรียนจบแล้วเดินเข้าสู่ตลาดแรงงาน
การนำ Explicit Knowledge มาสอนกัน ความรู้ที่นักศึกษาได้นั้นก็เป็นความรู้แบบกว้าง ๆ ความรู้แบบผิว ๆ
อาทิ อาจารย์ที่จบปริญญาเอกบริหารธุรกิจ จะมีกี่คนที่เคยทำธุรกิจ
คนที่จะสอนคนไปทำธุรกิจนั้น เราต้องการความรู้จากคนที่อ่านหนังสือหรือเพียงแต่ทำวิจัยทางด้านธุรกิจ (Explicit knowledge) หรือเราต้องการความรู้จากคนที่เคยล้มลุกคลุกคลานจากการทำธุรกิจ (Tacit knowledge)
การผลิตบัณฑิตในทุกมหาวิทยาลัยกำลังประสบปัญหาอาจารย์ขาดแคลน Tacit knowledge เพราะสังคมมหาวิทยาลัยใชระบบปริญญาเพื่อผลิตปริญญา แต่ในสังคมภายนอก สังคมชีวิตจริง ๆ นั้นเขาใช้ระบบปัญญาเพื่อพัฒนา "ปัญญา"
ใจเย็นๆนะคะ
มืองไทยยังมีอะไรให้น่าศึกษาอีกเยอะ...ว่าไหม