หลังจากที่ได้ตกปากรับคำในการดูแลงานก่อสร้างอาคารหลังใหม่ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น งานครั้งนี้เป็นงานที่หวั่น ๆ เพราะไม่เคยทำ ไม่มี "ประสบการณ์..."
เมื่อตกลงปลงใจรับงานนี้แล้ว เราก็ต้องเริ่มค้นหาข้อมูลโดยดูงานเก่า ๆ บ้าง อ่านเอกสารบ้าง ถามคนโน้นคนนี้บ้างเป็นการทำการบ้านที่จะรับมือกับงานจริงที่กำลังคืบคลานเข้ามา
นับตั้งแต่เริ่มลงมือจริงเมื่อประมาณสุดสัปดาห์ก่อน ตอนแรกเป็นงานที่กระท่อนกระแท่นมาก ก็เพราะสิ่งที่เราไปศึกษาเพื่อมาทำงานนั้นเป็น Explicit Knowledge ของคนอื่น ๆ "อ่านมาเพื่อมาทำ"
แต่ทว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้เอง สิ่งต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น ก็เพราะว่าเราเริ่มวางจิตวางใจของตนเองเป็น เมื่อก่อนเรานั้นคิดว่าความรู้ที่เราอ่าน เรามีนั้นเจ๋ง แต่ถึงอย่างไร Explicit Knowledg ก็มิสามารถเทียบเท่ากับ Tacit Knowledge ของคนที่เคยผ่านงาน
สองถึงสามวันนี้เราเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นคนที่มีหน้าที่คิด วางแผน วางจิตวางใจของตนเองเป็นแค่ "ผู้อำนวยความสะดวก" หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "เบ๊" ให้กับทั้งคนงานรวมถึงบุคคลต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
หน้าที่ของเราหลัก ๆ สองสามวันนี้ก็คือ เขาอยากได้อะไรเราก็จัดหาให้ เมื่อหามาแล้วเราก็นั่งดูเขาทำงาน นั่งดูเขาทำสิ่งต่าง ๆ ที่หลั่งไหลออกมาจาก Tacit Knowledge
ไม่ว่าเอกสารใด ๆ ตำราเล่มใด หรือแม้กระทั่งศาสตราจารย์คนใดเขียนไว้ ก็ไม่เทียบเท่ากับความรู้ที่ได้จากคนที่เคยผ่านงานจริง
สองสามวันนี้จึงเป็นวันที่สนุกมาก เพราะเราได้เห็นคนงานทั้งหญิงและชายได้ทำงานอย่างคล่องแคล่ว และแถมเขายังได้บอก ได้สอนเราว่า เมื่อก่อนเขาไปทำงานที่โน่น เขาทำอย่างนี้ ทำงานที่นี่เขาทำอย่างนั้น สิ่งที่เขาบอกเรา เป็นสิ่งที่เขากลั่นกรองมาแล้ว อันไหนดี อันไหนชั่ว "ดีเก็บไว้ ชั่วทิ้งไป..."
ที่จริงคนงานโดยทั่ว ๆ ไป ที่บางครั้งเราเคยดูถูกเขาว่าเป็น "กรรมกร" นั้น เขามีโอกาสดีว่า "วิศวกร" เยอะแยะ
วิศวกร จะหาความรู้ได้จากหนังสือแล้วก็มีโลกการเรียนรู้หมุนวนอยู่กับตนเอง แต่กรรมกรสามารถเรียนรู้ได้จากวิศวกรอย่างหลากหลาย หมดงานนี้ไปต่องานนั้น ทำที่นั่น ไปที่นี่
วิศวกรเสียเงินเพื่อเรียนรู้ แต่กรรมกรได้ทั้งเงินและ "การเรียนรู้"
ดังนั้น ไฉนเลยเราจะ "โง่" มีอัตตา ตัวตน ถือทิฏฐิมานะไม่เรียนรู้จากคนงานทั้งหลาย ที่เขามีลูกเล่น (Trick) เล็ก ๆ น้อย ๆ อันสร้างสรรค์ ที่เราไม่สามารถจะไปหาเลือกซื้อได้จากศูนย์หนังสือแห่งใดในโลกนี้
เราก็พึงทำตัวดั่งให้เล็กกว่าทั้งวิศวกร และกรรมกร เพื่อที่จะไ้ด้เรียนรู้จากเขาทั้งหลายด้วยใจที่เปิดกว้าง
เพียงแต่เรา "ศรัทธา" ในความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ของเขา ว่าเขารู้จริงเพราะเขาเคยทำงานจริง ๆ เพียงแค่นี้ชีวิตการทำงานของเราก็จะสนุกขึ้นอีกมาก เพราะทุกย่างก้าวในการทำงานของเรานั้นคือ "การเรียนรู้..."
เข้ามาเรียนรู้ด้วยความศรัทธา
อุปสรรคสำคัญที่เราจะเข้าถึงปัญญาของผู้อื่นนั้นก็คือ "ทิฏฐิ มานะ" ของตนเอง
เรามักสำคัญตนเองว่าเก่งกว่า ดีกว่า รวยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เรียนจบมาสูงกว่า" และอะไรต่ออะไรที่กว่า ๆ ของเรานั้นก็จะพาให้เราเป็น "น้ำชาที่ล้นถ้วย"
แต่ถ้าหากเรามีศรัทธาต่อ Tacit Knowledge อย่างแท้จริงแล้วนั้น เราจะไม่สนใจว่าคน ๆ นั้นจะเตี้ย ล่ำ ดำ สูง จะสวย จะหล่อ จะสวย จะเรียนจบชั้นใด มีการศึกษาแค่ไหน แต่ขอเพียงใจเรารู้ว่าเขามี "ประสบการณ์" ที่เคยผ่านงานใด ๆ มาด้วยอายตนะทั้ง 6 ของเขาแล้ว เราย่อมจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากเขาได้มากหลาย
ทะเลนั้นเป็นราชาแห่งแม่น้ำด้วยเหตุเพราะดำรงตนให้ต่ำกว่าแม่น้ำฉันใด บุคคลที่จะยิ่งใหญ่ด้วยความรู้จากสรรพสิ่งได้ พึงลดทอนทิฏฐิมานะของตนเพื่อดำรงจิตใจให้ต่ำดั่งทะเลและพร้อมรับความรู้ที่หลากหลายจากสรรพสิ่งอันยิ่งใหญ่ได้ฉันนั้น...
คนในสังคมส่วนใหญ่แล้วนับถือกันที่ Explicit Knowledge หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า "ปริญญา"
ปริญญาหรือใบประกาศที่เราไปนั่งฟังบุคคลที่เราเรียกว่า "อาจารย์" นั้นพูด เขียน บรรยาย เป็นเอกสาร ตำรา หรือนั่งฟังเนื้อหาในห้องเรียน ซึ่งอาจารย์ส่วนใหญ่นั้นก็ไปร่ำ ไปเรียน ก็คือ ไปฟังจากอาจารย์ของอาจารย์มาอีกที
แต่ความรู้อีกสายหนึ่งนั้น เป็นความรู้ที่ได้มาจากคนที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางด้านครอบครัว สังคม ฐานะ อะไรต่ออะไร เขาจำเป็นที่จะต้องออกมาทำงานแต่เด็ก แต่เล็ก ในทุกย่างก้าวของเขาคือ "การปฏิบัติ"
คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จบแค่ ม.3 ม.6 คนในสังคมมักดูถูก เหยีดหยามว่าเขาต้อยต่ำทางความรู้ แต่ที่จริงแล้วคนเหล่านั้นเป็นปราชญ์ผู้ทรงความรู้ และที่สำคัญเป็น "ความรู้ที่ฝังลึก (Tacit Knowledge)"
ถ้าหากเราตั้งใจจะเป็นผู้เรียนรู้ที่ดีแล้ว พึงศรัทธาที่เนื้อในของความรู้ พึงละเสียซึ่งความศรัทธาปริญญาอันเป็นหน้ากากของความรู้ เมื่อเราศรัทธาต่อ Tacit Knowledge อย่างแท้จริงแล้ว เมื่อนั้นเราจะเข้าถึง "ปัญญา" ที่แท้จริง...
มีความสุขที่ได้เข้ามาเรียนรู้
ก่อนทำงานนี้เครียดมาก เพราะไม่เคยทำ ไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้จะทำอย่างไร อ่านหนังสือเท่าไหร่ก็ไม่เข้า "เครียดเพราะวางใจผิด" คิดว่า ทุกอย่างเราต้องทำ ต้องวางแผนให้เขา หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเขา (ช่าง) ทำอะไรไม่เป็น
แต่ตอนหลังนี้วางใจใหม่ วางใจเป็นผู้บริการ อยู่หน้างานเป็นเพียง "ผู้เรียนรู้" ตอนนี้เลย "สบาย" นั่งดูเขาทำงานกัน เรียนรู้จากเขา เขาทำอะไรต่ออะไรลื่นไหลเป็น "ธรรมชาติ"
Tacit Knowledge มันดีตรงเนี๊ยะแหละ ไม่เก้งก้าง เคอะเขิน ทำอะไรต่ออะไรก็ทำได้ไปเรื่อย ๆ
แตกต่างกับสิ่งที่นักวิชาการทำ ผิด ๆ ถูก ๆ ลองผิด ลองถูกไปเรื่อย
Tacit Knowledge ทำให้คนเป็นมืออาชีพ ดังนั้นเราต้องเป็นมืออาชีพด้วยคือ "เรียนรู้อย่างมืออาชีพ..."
ไม่ผิดหวังทีเข้ามาเรียนรู้อีกครั้ง จากผู้ " เรียนรู้อย่างมืออาชีพ" เพื่อปรับวิธีคิด และจริตตน