ชีวิตด้านใน


“เมื่อคุณมีชีวิตด้านใน ไม่สำคัญเลยไม่ว่าคุณจะอยู่ทางฝั่งไหนของกำแพงคุก...ฉันตายมาเป็นพันครั้งแล้วในค่ายกักกันนับพันแห่ง...ฉันรู้ทุกอย่าง ข้อมูลใหม่ใดๆ ก็ไม่ทำให้ฉันเป็นทุกข์ได้ ฉันรู้ทุกอย่างโดยวิธีต่างๆ นานา แม้กระนั้น ฉันก็พบว่าชีวิตนี้มีความหมายงดงามมั่งคั่งในทุกขณะจิต”

เป็นคำพูดของเอาชวิตช์ เอ็ตตี ฮิลเลซัม สตรีสาวชาวดัตช์ ก่อนหนึ่งปีที่เธอจะเสียชีวิต ซึ่งข้าพเจ้าไปอ่านเจอเข้าในหนังสือ Happiness: A Guide to Developing Life’s Most Important Skill โดยท่านมาติเยอ ริการ์ เขียนไว้ และอาจารย์สดใส ขันติวรพงศ์ นำมาแปลเป็นภาษาไทย...

จากถ้อยความของ เอาชวิตช์ เอ็ตตี ฮิลเลซัม ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักเข้าไปบนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ภายใน เป็นดั่งที่เธอกล่าวไว้ เพราะเมื่อไรที่เราได้เข้าไปคลุกและดื่มด่ำกับชีวิตด้านใน เรานั้นจะไม่สนใจในเรื่องของความยากดีมีจน มีชื่อเสียงหรือเสียชื่อเสียง ลาภยศบรรดาศักดิ์ต่างๆ ไม่มีค่าหรือมีความหมายใดใดต่อการดำรงชีวิตที่เหลืออยู่นี้อีกเลย

สิ่งที่พึงหล่อเลี้ยงชีวิต...ก็มีเพียง การอยู่ ณ เวลาที่เป็นชั่วขณะ และมองว่าตนเองกำลังทำอะไร และเกิดประโยชน์ต่อสิ่งใดได้บ้าง ไม่ค่อยมีภาพวาดฝันในอนาคต หรือไม่ค่อยคำนึงหรอกว่าชีวิตวันครั้งหน้านั้นจะเป็นเช่นไร ... หรือแผนในอนาคตถ้าหากว่าจะมีก็เป็นเพียงแผนการณ์อย่างหละหลวมเต็มที ==> คงมีแต่ความเต็มที่กับชีวิต ณ ขณะนั้น

ข้าพเจ้านึกย้อนไปบนเส้นทางของชีวิตตนเอง ไม่เคยมีคราใดที่ราบเรียบไม่ว่าเรื่องใดใด ล้วนต่างเป็นประสบการณ์ที่นำมาสู่ความเจ็บปวดทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ...กว่าจะผ่านพ้นมาได้ในแต่ละเรื่องแต่ละเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การทำงาน ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่จำกัดเรื่อง หรือบางคราไม่มีเรื่องหากแต่เป็นรหัสที่ถูกใส่เข้าไปเป็นเบ้าหลอมของการเกิด ชีวิตและจิตใจที่ปรากฏขึ้นมาจากดวงจิตอันยากจะทราบสาเหตุที่แน่ชัด ... สิ่งที่ปรากฏต่อ “ชีวิต” คือ ความอดทน...ความอดทนทำให้ข้าพเจ้าพยุงชีวิตและทำให้มองย้อนกลับไป ได้รู้สึกขอบคุณปัญหาต่างๆ ที่เกิดและประสบ มันทำให้ข้าพเจ้าได้ฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจอันดำมืดบอดให้พอสว่างและดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีชีวิตชีวา พอทำให้ใจได้เบิกบาน...และมีพลังทำสิ่งต่างๆ ที่ตนเองพอมีความสามารถ

มันเป็นพลังที่เราไม่ได้คาดหวัง หากแต่เป็นพลังที่อาศัยความเต็มที่ ณ ขณะนั้นๆ...

เมื่อก่อนนี้หากว่ามีใครถามว่าพลังอันมากมายนั้นมาจากไหน...ข้าพเจ้าเขลาทางปัญญาไม่อาจสามารถให้คำตอบได้กระจ่างหนัก จวบจนเมื่อมาเห็นตนเองชัดแจ่มขึ้น พลังที่ว่านั้น ไม่ได้มาจากไหน หากแต่มาจากความรู้สึกตัวเท่านั้นเอง การรู้สึกตัวเป็นสภาวะของเราที่ปรากฏขึ้นขณะอยู่กับปัจจุบัน ข้าพเจ้าไม่ได้ไปทุ่มเทชีวิตกับการคิดในเรื่องที่ผ่านมาและก็ไม่ได้เฝ้าคำนึงถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ณ ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่  ก็จมจ่ออยู่กับสิ่งนั้น พลังที่มีจึงเป็นอยู่ ณ ขณะนั้นอย่างเต็มเปี่ยม...

ความที่มากระทบ...หากถามว่ากระเทือนไหม...

มีบางครั้งที่กระเทือน หากแต่จะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก เหมือนภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ฉายผ่านเข้ามาให้ปรากฏให้ได้รู้และก็ผ่านไป ข้าพเจ้ารู้แต่ว่าชีวิตที่ดำรงอยู่นี้มีหลายอย่างที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้ และเป็นการทำอย่างเป็นอิสระไม่ทำให้ใครต้องเดือนเนื้อร้อนใจไปกับการกระทำของข้าพเจ้า... หรือว่าหากเปรียบเทียบอีกคราก็ดูเหมือนเป็นกระแสคลื่นน้ำที่ไหลผ่านมากระทบและสัมผัสเรา เราเพียงดำรงตนให้อยู่ได้ ณ ห้วงเวลานั้น แล้วก็จะสามารถปรับตัวได้เอง...

การนำพาตนเองก้าวเดินเข้าไปสู่ภายใน...

ทำให้เราได้รับคำตอบอย่างมากมายต่อความหมายของการเกิดมา ดำรงอยู่ และความพร้อมตายตลอดเวลา

ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่จะฉุดเราให้ละล้าละลัง...แม้ว่าการดำรงอยู่ในบางครามีคน เหตุการณ์ เรื่องราวเข้ามากระทบชีวิต เราก็เพียงแค่ดำรงอยู่กับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ดิ้นรน อยู่อย่างเต็มที่ในด้านบวก แม้ว่าบางครั้งด้านลบจะปรากฏขึ้นแต่หากว่าเราอาศัยความอดทนเป็นตัวพยุงไว้...จะทำให้เราไม่พลาดทำสิ่งต่างๆ อันเป็นด้านลบ...สักพัก... “ความ” ที่ปรากฏขึ้นจะไม่มีทั้งบวกและลบ...จะมีเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่เกื้อหนุนให้เราปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ณ เวลาขณะนั้นได้อย่างเต็มที่

เมื่อได้ทำเต็มที่แล้ว...มันก็แล้ว และผ่านไป

 

หมายเลขบันทึก: 366289เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2010 17:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013 13:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท