ผู้เขียนเป็นคนอีสาน กำพืดก็เหมือนๆกับคนส่วนใหญ่ที่มาจากอีสานและเข้ามาทำมาหากินในเมืองใหญ่ อาชีพเดิมของผู้ให้กำเนิดก็คือ " ทำนา " ทำปีละครั้ง พ่อชาวนา แม่ชาวนา มีพี่น้อง 3 พ่อกับแม่สู้ทนส่งลูกเรียนจนจบปริญญาตรีทั้ง 3 คนตอนนี้ลูกอยู่คนละทิศ แต่ก็กลับไปเยี่ยมท่านอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าใครจะชวนให้มาอยู่ด้วย ท่านก็มักจะบอกเสมอว่า"ท่านเกิดที่นี่ อยู่ที่นี่สบายกว่าที่อื่น จะขออยู่ที่นี่จน...."
บางครั้งท่านคิดถึงลูกคนใหนอยากมาเยี่ยมท่านก็จะมาเอง เพราะอย่างที่เราทราบอีสานทำนาได้ครั้งเดียว ช่วงเวลาที่ทำนา ประมาณ 6-8 เดือน ที่เหลือจากนั้น ก็หาอาชีพเสริม ( คุณแม่ขายก๋วยเตี๋ยวกับทอผ้าใหม ) บางคนก็เข้ากรุง มาขายแรงแลกเงินและคุณพ่อก็เช่นกันหลังจากที่ว่างเว้นจากการทำนาท่านก็เข้า กทม. ( ตอนที่รายังเด็ก ๆท่านเดินทางไปกลับปีละหลายครั้ง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ท่านจะเดินทางมาหาลูก ๆ) เพื่อหาเงินส่งลูกเรียน แต่ตอนนี้ลูก ๆ จบหมดแล้วท่านก็อยู่ที่บ้านตามประสา การทำนาก็ไม่เหมือนแต่ก่อน จากควายกลายเป็นควายเหล็ก จากแต่ก่อนต้องลงมือทำเองใช้เวลาเป็นแรมเดือนเดี๋ยวนี้ทำไม่ถึงสัปหาด์ก็เสร็จ
มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณพ่อและคุณแม่มาหาเพราะอยากมา โทรมาบอกว่าจะมาถึงตอนประมาณ ตี 4 ให้ไปรับด้วย สถานีรถไฟหลักสี่ วันนั้นไปรอตั้งแต่ตี 3 พอรถจอดผู้โดยสารต่างคนต่างลงเราก็ยังหาไม่พอรถไฟออกคนเริ่มบางตาก็พบกับท่านทั้ง 2 และก็ตามประสามาเยี่ยมลูกทั้งทีท่านก็เอาของฝากมาเพียบ ผัก ปลา เนื้อ หมู อะไร ๆ อีกมากมายที่รู้ว่าลูกชอบท่านขนมาหลายกระสอบที่ที่สำคัญ ที่ลืมไม่ได้ " ข้าวสาร" ข้าวที่พ่อแม่ปลูกเอง ลงแรงเอง ท่าน ข้าวที่เลี้ยงลูกมาเป็นคนได้ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นสิ่งที่ท่านลืมไม่ได้
คนเยอะ ของแยะ เราก็ขนของขึ้นรถพอเสร็จ (ของเต็มรถ) ก็พาท่านมาที่บ้าน ด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางมาถึงบ้านท่านทั้ง 2 ก็อาบน้ำและหลับไป เราก็จัดแจงอาหารเช้ารอให้เสร็จก่อนที่ท่านจะตื่น ประมาณ 10 โมงเช้าท่านก็ตื่นมาทานอาหารและก้นคุยกันตามประสาพ่อแม่ลูก และท่านก็ถามสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อย ๆ มาถึงเรื่องอาหารการกิน ท่านก็ถามเรื่องกับข้าว และข้าวที่ใช้หุง ว่าหมดข้าวสารหรือยัง( ที่เอาครั้งก่อน) เราก็ตอบว่าหมดตั้งนานแล้ว ที่กินอยู่เป็นข้าวที่ซื้อมาจากร้านค้า ท่านก็ถามว่า แล้วไม่เอาข้าวที่เอามา มามาหุงกินเลยล่ะ
"ชิ..หายแล้ว" ผู้เขียนนึกในใจ และก็บอกพ่อว่าลืมยกข้าวสารขึ้นรถ เท่านั้นแหละ การสนทนาก็เข้มข้นขึ้น
แม่เริ่มพูดออกมาด้วยความน้อยใจ
"สู้อุตส่าแบกมาให้จากสุรินทร์ จนมาถึงกรุงเทพพอเอาลงจากรถไฟ ดันลืมเอาขึ้นรถ ซะเนี่ย แม่สู้อุตส่านั่งคัด"ข้าวที่สี"แล้วเอาเม็ดเล็ก ๆ ออกคัดเอามาเฉพาะเมล็ดที่สมบูรณ์เอามาให้ลูก ข้าวหอมมะลิใหม่ด้วย กำลังหอมเลย"
แต่พ่อก็พูดเสริมออกมาด้วยความใจเย็นอย่างผู้มีประสบการณ์
"ไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อกี้เราวางไว้ที่สถานีรถไฟใช่มั้ย คนกรุงเทพเขาไม่สนใจหรอก ยิ่งโดยเฉพาะสถานที่ที่มีคุณพลุกผล่านอย่างนี้ไม่มีใครรูหรอกว่าของใครเป็นของใคร และของหนักขนาดนี้ไม่มีใครเอาไป กลับไปเอามันยังอยู่ที่เดิม "
ผู้เขียน
" พ่อ มันจะอยู่หรือครับ ตั้งแต่ ตี 4 แล้วตอนนี้ก็ 10 โมง แล้ว มันตั้ง 6 ชั่วโมงแล้วนะ"
พ่อตอบขึ้นมาทันควัน
"เชื่อพ่อ ซิ ไปเรารีบไปเอากันเถอะ "
ว่าแล้วสองพ่อลูกก็ขับรถไปสถานีรถไฟ " โฮ้..............ไม่น่าเชื่อผ่านมาผ่านมาตั้งครึ่งวัน ยังอยู่ที่เดิม ตั้งอยู่ลักษณะเดิม ทั้ง 2 ถุง ( ขนาดถุงปุ๋ย) " ผู้เขียนแทบไม่เชื่อสายตา
พ่อพูด " เห็นใหม....... ที่นี่ไม่มีใครสนใจใครหรอก "
หลังจากเหตุการณ์ " ข้าวสารของพ่อ" ตั้งแต่วันนั้น ผู้เขียนตั้งคำถาม ถามในใจตนเองเสมอคนเมืองกรุงสนใจแค่ตัวเองไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ?
ไม่มีความเห็น