สตรีนิยม
(Feminism)
เย็นจิตร ถิ่นขาม[1]
Yenjit Thinkham
1. แนวคิดสตรีนิยม มีที่มา
หรือความเป็นมาอย่างไร
ในช่วงประมาณสองร้อยปีที่ผ่านมา
สังคมของมนุษย์ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ
การก่อเกิดและการยอมรับในเรื่องสิทธิมนุษยชน
การให้ความสำคัญกับความเป็นประชาธิปไตย
การเปลี่ยนแปลงการผลิตแบบเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
ได้ทำให้ผู้หญิงส่วนหนึ่งได้รับโอกาสการศึกษาเช่นเดียวกับผู้ชาย
ผู้หญิงได้ทำงานนอกบ้านมากขึ้น สิ่งต่างๆ
เหล่านี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อความเชื่อเดิมๆ
ที่เสนอว่าผู้หญิงมีสถานะที่ด้อยกว่าชาย
และความแตกต่างของผู้หญิงและผู้ชายเป็นเรื่องตามธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
รวมทั้งการพยายามหาคำตอบว่าทำไมความเชื่อเช่นว่านี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้มาเป็นเวลานาน
การเกิดการตั้งคำถาม การหาคำอธิบาย
และการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อเปลี่ยนแปลงความเชื่อตลอดจนสภาพแห่งความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศนี้
ได้มีการเรียกรวม ๆ ว่าสตรีนิยม (Feminism)
สตรีนิยมได้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 40 ปีหลังของศตวรรษที่ 20
นำไปสู่การศึกษาเกี่ยวกับผู้หญิงในมิติต่าง ๆ
โดยให้ความสำคัญในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ
และได้ใช้ความคิดรวบยอดในเรื่องความเป็นเพศ (Gender)
เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่สำคัญ
ความเหลื่อมล้ำทางเพศได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องความเท่าเทียมกันระหว่างเพศมาโดยตลอด
โดยเฉพาะในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา
ในช่วงเวลาดังกล่าวยังได้เกิดการศึกษาและคำอธิบายหรือแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นรองของผู้หญิงในด้านต่าง
ๆ อย่างมากมายอีกด้วย
คำอธิบายหรือแนวคิดทางสตรีนิยมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่พัฒนาขึ้นจากแนวคิดกระแสหลัก
ๆ ที่มีอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยม (Liberalism) ลัทธิมาร์กซ์
(Marxism) จิตวิเคราะห์(Psychoanalysis) หรือแนวคิดหลังสมัยใหม่
(Postmodernism) นักสตรีนิยมได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาขยายความ
ปรับแต่งให้กลายเป็นกรอบทฤษฎีที่กว้างขึ้นและใช้อ้างอิงได้ (Arneil
1999) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหลายสำนักคิดด้วยกัน
และในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยอมรับประเด็นที่นักสิทธิสตรีนำเสนอ
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเพศ เรื่องความเสมอภาค
ประเด็นเหล่านี้ได้มีสื่อออกไปไม่เฉพาะแต่ประเทศในตะวันตกเท่านั้น
แต่ยังมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิสตรีในประเทศอื่นๆ
ด้วยเช่นกัน
และเป็นประเด็นปัญหาที่ควรจะหยิบยกมาพิจารณาในการแก้ไขปัญหาครอบครัว
และปัญหาสังคมของผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้สตรีนิยมมีประวัติความเป็นมาในประเทศต่างๆ
ดังนี้
สตรีนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการสิทธิสตรีทั้งประเทศตะวันตกและตะวันออก
สตรีนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นความพยายามที่จะกำจัดการใช้อำนาจระหว่างเพศ
และเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
สิทธิสตรีเกี่ยวข้องทั้งทางวัฒนธรรม กฎหมาย สังคม
และเศรษฐกิจ
หนังสือเกี่ยวกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับความเสมอภาคถูกค้นพบเมื่อคริสต์วรรษที่
18 โดยแมรี่ แอสเทลล์ (Mary Astell) เรื่อง Some
Refletion upon Marriage
เป็นการเปิดประเด็นของดสิทธิความเสมอภาคของทั้งหญิงชาย
ทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
และได้นำไปสู่การจัดเป็นองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับผู้หญิง
ในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1840
สิทธิสตรีมีเรื่องที่สำคัญคือ การกดขี่
(oppression) และได้มีการเคลื่อนไหวเรื่องการข่มขืน
การทำร้ายเด็ก การทำแท้ง ในปี ค.ศ.
1991 และในคริสต์วรรศที่ 19 และ 20
มีขบวนการสิทธิสตรีที่มีการเคลื่อนไหวมากในเรื่องความเสมอภาคและโอกาสของผู้หญิง
สตรีนิยมในประเทศอังกฤษ เริ่มเป็นที่รู้จักโดย
โจเซฟีน บัตเลอร์ (Josephine Butler)
ได้มีขบวนการรณรงค์ในปี ค.ศ. 1864
เรื่องการติดโรคของผู้หญิง
ซึ่งเป็นผู้ทำการรักษาพยาบาลให้กับผู้หญิงโดยรักษาโรคติดต่อทางเพศ
โดยเฉพาะผู้หญิงโสเภณี
และยังได้เป็นสาระสำคัญในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่ทำให้ผู้หญิงตกต่ำกว่าผู้ชาย
และจากนั้นภาคประชาชนหรือองค์กรต่างๆ
ก็ได้หันมาให้ความสนใจกับสิทธิสตรีและได้ตั้งองค์กรต่างๆ
เกี่ยวกับสิทธินิยมขึ้นมาก และที่สำคัญคือในปี ค.ศ.
1913 ได้มีการเสนอแนวคิดเกี่ยวกับผู้หญิงในแถบเอเชีย
เพื่อปลดปล่อยให้ผู้หญิงเป็นอิสระและเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง
ได้มีการจัดตั้งสมาคมระดับชาติเกี่ยวกับผู้หญิงขึ้น
สภาวสตรีใน 16 ประเทศ ในกลุ่มโลกที่สาม
ซึ่งในระยะแรกของศตวรรษที่ 20
ได้มีการเยี่ยมผู้หญิงในโลกที่สามจากกลุ่มสิทธิสตรียุโรปผู้มีบทบาทสำคัญ
ได้แก่ เอลลีย์ คีย์ (Elley Key) แอนนี
บีแซนต์ (Annie Besant) และมาร์กาเรต
แซนเกอร์ (Margaret Sanger)
ซึ่งก่อให้เกิดกิจกรรมหลายลักษณะและขบวนการเคลื่อนไหวของผู้หญิงในเรื่องต่างๆ
แต่แนวคิดของตะวันตกอาจนำมาใช้ไม่ได้ทั้งหมดกับผู้หญิงในโลกที่สาม
เช่น
ชนชั้นทางสังคมระหว่างเพศและเรื่องผู้หญิงอยู่ในขบวนการพรรคการเมืองของแต่ละประเทศ
ในส่วนของสิทธิสตรีในประเทศไทยนั้น
จะเห็นได้ว่าขบวนการเคลื่อนไหวของสตรีไทยได้มีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงบทบาทและสถานภาพตั้งแต่ระบบการเมืองการปกครอง
ในการเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มจากระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ซึ่งเริ่มปรากฎเด่นชัดในสมัยรัชกาลที่ 4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่ากฎหมายเก่าไม่ยุติธรรม
เช่น การขายเมีย
หรือการบังคับให้ลูกสามแต่งงานโดยไม่เต็มใจ
จึงโปรดเกล้าให้เลิกเสีย
และต่อจากนั้นก็ได้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความเสมอภาคระหว่างหญิงและชายมาโดยตลอด
โดยเฉพาะกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว
นับได้ว่าสตรีไทยไม่ได้มีความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อความเสมอภาค
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าสตรีไทยส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนา
ได้รับโอกาสทางกฎหมายหลายๆ ด้าน
แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีการกีดกันและการปิดกั้นโอกาสผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ซึ่งสมควรที่จะได้รับการพัฒนาเรื่องนี้ให้ดียิ่งขึ้น
เพื่อเป็นการให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน
ซึ่งผู้หญิงก็เป็นกลุ่มหนึ่งในเรื่องสิทธิมนุษยชน เช่นกัน
แม้ว่าการเรียกร้องสิทธิสตรีจะมีพัฒนาการมายาวนานและนานาประเทศให้ความสนใจในประเด็นสิทธิสตรีมากขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเรียกร้องนี้ควรจะยุติ
และในบางสังคมความเสมอภาคที่แท้จริงยังไม่ได้เกิดขึ้นและยังต้องมีการค้นหาต่อไปว่า
ความเสมอภาคระหว่างผู้ชายและผู้หญิงที่แท้จริงคือจุดใด
และจะทำอย่างไรเพื่อที่จะขจัดความเป็นเพศออกไปได้
2. แนวคิดนี้ ถูกจำแนกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
แต่ละประเภท มีหลักการคิดอย่างไร
จากที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าคำอธิบายหรือแนวคิดทางสตรีนิยมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่พัฒนาขึ้นจากแนวคิดกระแสหลัก
ๆ ที่มีอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยม (Liberalism) ลัทธิมาร์กซ์
(Marxism) จิตวิเคราะห์(Psychoanalysis) หรือแนวคิดหลังสมัยใหม่
(Postmodernism) นักสตรีนิยมได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาขยายความ
ปรับแต่งให้กลายเป็นกรอบทฤษฎีที่กว้างขึ้นและใช้อ้างอิงได้ (Arneil
1999) สามารถแบ่งออกเป็นหลายสำนักคิดด้วยกัน ได้แก่
2.1. สตรีนิยมสายเสรีนิยม
การพัฒนาแนวคิดเสรีนิยมในคริสต์วรรษที่ 18
เกิดขึ้นจากกลุ่มที่ต่อต้านกลุ่มกระฎุมพี และพวกศักดินา
ภายใต้ระบบศักดินา ฐานะสังคมถูกกำหนดมาแต่กำเนิด
แนวคิดเสรีนิยมยืนยันว่าฐานะทางสังคมควรจะถูกกำหนดโดยความสามารถและทักษะของปัจเจกบุคคล
และวัดโดยความสำเร็จของบุคคลในการแข่งขันกับบุคคลอื่น
ซึ่งสตรีนิยมสายเสรีนิยมถือว่าเป็นสำนักคิดแรกและถูกมองว่าเป็นแนวคิดกระแสหลักของสตรีนิยม
เพราะคนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับแนวคิดนี้
สตรีนิยมสายเสรีนิยมได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากแนวคิดเสรีนิยมที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันของมนุษย์โดยเฉพาะในทางกฏหมาย
ให้ความสำคัญต่อปัจเจกนิยมที่มีเหตุผล
ทำให้นักสตรีนิยมในแนวนี้มักเรียกร้องให้ผู้หญิงเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนมีเหตุผล
ปรับปรุงตัวเองให้เหมือนกับผู้ชาย เช่นต้องไม่ใช้อารมณ์
ไม่แสดงความอ่อนแอ และเชื่อว่าผู้หญิงและผู้ชายไม่มีความแตกต่างกัน
เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ดังนั้นผู้หญิงควรมีโอกาสที่จะทำทุกอย่างให้ได้เหมือนผู้ชาย
เรียกร้องให้ผู้หญิงมีโอกาสที่เท่าเทียมในการแข่งขันภายในระบบสังคมที่เป็นอยู่โดยเฉพาะในปริมณฑลสาธารณะ
ให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย ทางการเมือง
เพื่อสิทธิของปัจเจกบุคคลในการแข่งขันในตลาดสาธารณะ
เพราะเชื่อว่าถ้าผู้หญิงมีโอกาสที่เท่าเทียมแล้ว
ผู้หญิงจะเป็นเหมือนผู้ชายได้ทุกอย่าง
การต่อสู้หลักของสตรีนิยมสายนี้คือ การต่อสู้ผ่านทางการแก้ไขกฎหมาย
หรือการแก้ไขในแนวสังคมสงเคราะห์
ไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงที่โครงสร้างสังคม
นักสตรีนิยมสายเสรีนิยมถูกวิจารณ์ค่อนข้างมากโดยเฉพาะการให้ความสำคัญเฉพาะประเด็นของกฏหมาย
เพราะความด้อยโอกาสของผู้หญิงหลายประการไม่สามารถแก้ไขผ่านทางการแก้ไขกฏหมาย
เช่น ไม่มีกฎหมายใดระบุว่าผู้หญิงต้องเป็นหลักในการดูแลลูก
แต่ผู้หญิงก็ต้องทำแม้ว่าอาจจะไม่ต้องการทำ (Eisenstein 1981)
นอกจากนี้การเรียกร้องให้ผู้หญิงต้องปรับตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือแสดงท่าทางตลอดจนการคิด
อารมณ์ให้เหมือนผู้ชาย
ก็ถูกวิจารณ์เช่นกันว่าเป็นการแสดงถึงการยอมรับให้ "ความเป็นผู้ชาย"
เป็นตัวแบบของมนุษย์ที่พึงประสงค์ ซึ่งไม่น่าถูกต้อง
เพราะคุณลักษณะหลาย ๆ ประการของผู้ชาย เช่น การชอบแข่งขัน
ไม่มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ไม่มีความอ่อนโยน ความก้าวร้าว
การเก็บกดทางอารมณ์
ล้วนไม่ใช่คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของมนุษย์อีกต่อไป
2.2. สตรีนิยมสายมาร์กซิสต์
เป็นอีกแนวคิดหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970
ได้รับอิทธิพลทางความคิดของคาร์ล มาร์กซ์ และเฟรดเดอริกค์ เองเกลส์
(Frederick Engels)
โดยเชื่อว่าการกดขี่ที่ผู้หญิงได้รับเป็นผลจากระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม
โดยเฉพาะในระบบการผลิตแบบทุนนิยม
สตรีนิยมสายนี้เชื่อว่าระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมทำให้เกิดการแบ่งการทำงานออกเป็น
งานบ้านที่ถือว่าเป็นงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต
ไม่มีคุณค่าและไม่มีค่าตอบแทน
และงานนอกบ้านซึ่งเป็นงานที่ก่อให้เกิดผลผลิตมีค่าตอบแทน
ระบบทุนนิยมพยายามที่จะให้เก็บผู้หญิงไว้ทำงานบ้าน
การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทุนนิยมเพราะผู้ชายสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่เสียเวลาในการทำงานบ้านหรือทำอาหาร
และนายทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าแรงงานสูงขึ้นเพื่อนำมาจ่ายให้กับคนทำงานบ้านเพราะมีผู้หญิงหรือภรรยาทำให้ฟรีอยู่แล้ว
ในกรณีที่ผู้หญิงได้มีโอกาสทำงานนอกบ้าน ภายใต้ระบบทุนนิยมที่เป็นอยู่
งานที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทำถูกถือว่าเป็น "งานของผู้หญิง" เช่น งานพยาบาล
งานเย็บผ้า งานเลขานุการ
ซึ่งเชื่อว่าเป็นงานที่คล้ายคลึงกับงานที่ผู้หญิงทำที่บ้าน
จึงทำให้งานเหล่านั้นได้รับค่าตอบแทนต่ำเมื่อเทียบกับงานที่ผู้ชายส่วนใหญ่ทำ
เพราะงานบ้านถูกตัดสินว่าเป็นค่าที่ไม่มีคุณค่าในระบบทุนนิยม
ระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจึงถือว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของความเป็นรองของผู้หญิง
ดังนั้นการต่อสู้ของผู้หญิงสำหรับสตรีนิยมสายนี้
คือต้องเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมที่เป็นอยู่
การเสนอดังกล่าวทำให้สตรีนิยมสายมาร์กซิสต์ถูกวิจารณ์ว่ามองไม่เห็นการกดขี่ผู้หญิงในรูปแบบอื่น
ๆ ที่สำคัญ เช่นการกดขี่ที่ผู้หญิงได้รับในโลกส่วนตัว
หรือภายในครอบครัว
มองไม่เห็นว่าการกดขี่ผู้หญิงมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากการกดขี่ทางชนชั้น
ข้อวิจารณ์นี้นำไปสู่การเกิดขึ้นของสำนักคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน
(Radical Feminism)
2.3. แนวคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน
อธิบายว่า การกดขี่ผู้หญิงเกิดขึ้นเพราะเธอเป็นผู้หญิง
หรือผู้หญิงถูกกดขี่เพราะเพศของเธอ
ความไม่เทียมกันทางเพศที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจาก อุดมการณ์ชายเป็นใหญ่
(Patriarchy) ระบบชายเป็นใหญ่ หมายถึง
ระบบของโครงสร้างสังคมและแนวการปฏิบัติที่ผู้ชายมีความเหนือกว่า
กดขี่และเอารัดเอาเปรียบผู้หญิง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
เป็นระบบที่ผู้ชายมีความเหนือกว่าผู้หญิงในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น
เศรษฐกิจ การเมือง หรือวัฒนธรรม
กลุ่มแนวคิดนี้ให้ความสนใจต่อสถานะที่เป็นรองของผู้หญิงและมองว่าความเป็นรองที่เกิดขึ้น
มีสาเหตุมาจากความต้องการเหนือกว่าของผู้ชาย
และอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ได้พยายามสร้างความชอบธรรมต่อความเหนือกว่าของผู้ชาย
(ผู้ชายเข้มแข็งกว่า ฉลาดกว่า มีเหตุผลมากกว่า
คิดอะไรที่ลึกซึ้งได้มากกว่า ฯลฯ)
และทำให้ความเหนือกว่านี้ดำรงอยู่ในความเชื่อของคนในสังคมผ่านทางกระบวนการขัดเกลาทางสังคมในรูปแบบต่าง
ๆ สตรีนิยมสายนี้ได้มีการแตกย่อยเป็นสตรีนิยมสายวัฒนธรรม (cultural
feminism) และสตรีนิยมสายนิเวศ(ecofeminism)
2.4. สตรีนิยมสายวัฒนธรรม
จะยอมรับว่าผู้หญิงและผู้ชายมีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน
เหมือนที่เคยเชื่อกันในอดีต
แต่นักสตรีนิยมสายนี้เสนอว่าคุณลักษณะที่เป็นหญิงนั้นดีกว่าหรือเหนือกว่าของผู้ชาย
(ไม่ใช่ด้อยกว่าดังที่เชื่อกันในอดีต)
ไม่ว่าจะเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น การเอาใจใส่ดูแล
ความอ่อนโยน ความสันติไม่ก้าวร้าว
ล้วนเป็นคุณลักษณะที่ผู้หญิงควรชื่นชม
และรักษาความเป็นหญิงเหล่านั้นไว้
2.5. สตรีนิยมสายนิเวศ
มีความเชื่อคล้ายคลึงกับสายวัฒนธรรมว่าผู้หญิงมีความแตกต่างจากผู้ชายและดีกว่าผู้ชายตามธรรมชาติ
แต่เสนอเพิ่มเติมว่าผู้หญิงมีความใกล้ชิดหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติ
เช่นการที่ผู้หญิงเป็นผู้ให้กำเนิดบุตร
ทำให้ผู้หญิงเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เชื่อมโยงกับโลก
ส่วนผู้ชายนั้นใกล้ชิดกับวัฒนธรรม
และในนามของวัฒนธรรมผู้ชายได้พยายามและประสบความสำเร็จในการข่มเหงรังแกทั้งผู้หญิงและธรรมชาติ
การเชื่อมโยงผู้หญิงเข้ากับธรรมชาตินี้ได้นำไปสู่การฟื้นฟูพิธีกรรมโบราณที่ให้ความสำคัญกับการบูชาพระแม่เจ้า
รวมทั้งระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง
โดยมองว่าธรรมชาติเปรียบเสมือนแม่และพระแม่เจ้าซึ่งเป็นที่มาของพลังอำนาจและแรงบันดาลใจ
และเรียกร้องให้มีการปฏิเสธวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Merchant 1995)
ทั้งสตรีนิยมสายวัฒนธรรมและสายนิเวศถูกวิจารณ์ว่าเป็นพวกสารัตถะนิยม
คือเชื่อว่ามีธาตุแท้ของความเป็นหญิง
2.6. สตรีนิยมสายสังคมนิยม (Socialist Feminism)
ถือว่ามีความคล้ายคลึงกับสตรีนิยมสายมาร์กซิสต์อยู่หลายประการ
ไม่ว่าการเชื่อว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีความเหมือนกันหรือการวิเคราะห์สังคมโดยแบ่งเป็นโลกส่วนตัวและโลกสาธารณะ
รวมทั้งการเสนอให้ผลักดันโลกส่วนตัวเข้าไปอยู่ในโลกสาธารณะ
แต่ที่แตกต่างกันคือ
สตรีนิยมสายสังคมนิยมมองว่าการอธิบายถึงการกดขี่ผู้หญิงจำเป็นต้องทำความเข้าใจต่อโลกหรือพื้นที่ส่วนตัวด้วย
เช่นความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเพศหญิงกับเพศชายและหน้าที่การให้กำเนิดเด็กของผู้หญิง
ดังนั้นสตรีนิยมสายนี้จึงเสนอว่า ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ
เป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์กันของระบบชายเป็นใหญ่และระบบทุนนิยมในสังคม
หรือกล่าวได้ว่า
เมื่อทั้งระบบความเป็นเพศและระบบเศรษฐกิจมาสัมพันธ์กันในยุคสมัยหนึ่งๆ
ได้ทำให้เกิดโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ผู้ชายอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ
ส่วนผู้หญิงอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ตัวอย่างเช่น
ระบบชายเป็นใหญ่ได้สร้างความเชื่อที่ว่า
คุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่ความสวยและความสาว
(คุณค่าของผู้ชายอยู่ที่ความสามารถ
การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน)
ความเชื่อนี้เมื่อปฏิสัมพันธ์กับเศรษฐกิจแบบตลาดที่ต้องการขายสินค้าให้ได้มาก
ดังนั้น ผ่านทางการโฆษณา
ผู้หญิงจึงตกเป็นเหยื่อทางการค้าของธุรกิจเครื่องสำอางค์หลากหลายชนิดอย่างเต็มใจ
เพื่อต้องการสวยและรักษาความสาวไว้
2.7. สตรีนิยมสายจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic
Feminism) เป็นแนวคิดสตรีนิยมอีกสำนักหนึ่ง
ได้ใช้แนวคิดของจิตวิเคราะห์อธิบายถึงการเกิดขึ้นของความเป็นชายความเป็นหญิงซึ่งนำไปสู่ความเป็นรองของผู้หญิง
โดยเชื่อว่าการทำความเข้าใจต่อพัฒนาการความเป็นชายเป็นหญิงจำเป็นต้องทำความเข้าใจในระดับจิตใจ
นักสตรีนิยมสายนี้เชื่อว่าความเป็นเพศ
หรือความเป็นชายเป็นหญิงไม่ใช่เรื่องทางชีวะที่มีมา
แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในระดับจิตไร้สำนึก(unconciousness)ในพัฒนาการชีวิตช่วงต้นๆ
ของเด็ก
ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่สำคัญในการก่อรูปอัตลักษณ์ของความเป็นเพศ
เช่นงานของแนนซี่ โชโดรอฟ (Nancy Chodorow) (1978)
ที่อธิบายว่าการเลี้ยงดูเด็กอ่อนที่ไม่สมดุลย์ คือ...
การที่แม่เลี้ยงดูเด็กใกล้ชิดแต่เพียงผู้เดียวโดยมีพ่อคอยดูอยู่ห่าง ๆ
ก่อให้เกิดการก่อรูปอัตลักษณ์ความเป็นเพศที่แตกต่างกัน
ทำให้ผู้ชายมักเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเอง
ไม่มีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
ส่วนผู้หญิงจะมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
แต่มีความเป็นตัวของตัวเองน้อย
ซึ่งเธอเสนอว่าความเป็นหญิงเป็นชายแบบนี้ไม่เหมาะสมทั้งคู่
มนุษย์ที่พึงประสงค์ควรเป็นการผสมผสานคุณลักษณะของทั้งสองเพศ
ซึ่งจะได้มาโดยเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูเด็กให้พ่อมีส่วนในการเลี้ยงดูลูกในระดับเดียวกับแม่
(equal parenting)
2.8. สตรีนิยมสายหลังสมัยใหม่ สตรีนิยมแนวคิดต่าง ๆ
ข้างต้นถูกมองว่าเป็นผลผลิตของแนวคิดในยุคสมัยใหม่
(ยกเว้นนักสตรีนิยมสายจิตวิเคราะห์บางคน)
และถูกวิจารณ์จากสตรีนิยมสายแนวคิดหลังสมัยใหม่ว่ามีข้อบกพร่องโดยเฉพาะประเด็นการเสนอภาพผู้หญิงที่เป็นหนึ่งเดียว
คือเชื่อว่าผู้หญิงทั้งโลกมีความเหมือนกัน
ไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทางชาติพันธุ์ ทางชนชั้น
สตรีนิยมสายหลังสมัยใหม่ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างสูงตั้งแต่ทศวรรษที่
1980 เป็นต้นมา ได้ให้ความสำคัญต่อความแตกต่างของกลุ่มผู้หญิง
รวมทั้งความหลากหลายที่มีอยู่ของผู้หญิงแต่ละคน
นอกจากนี้ยังปฏิเสธความคิดสารัตถะนิยม โดยเสนอว่าไม่มีผู้หญิง
ไม่มีความเป็นผู้หญิง ทุกอย่างล้วนสร้างผ่านปฏิบัติการทางวาทกรรม
จึงไม่มีความเป็นผู้หญิงที่แท้ คงที่ตายตัวและไม่เปลี่ยนแปลง
การเสนอว่าไม่มี "ผู้หญิง"
ของสตรีนิยมหลังสมัยใหม่ได้นำไปสู่การถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักสตรีนิยมสายอื่น
ๆ
ว่าทำให้การต่อสู้เพื่อสถานะที่ดีขึ้นของผู้หญิงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าผู้หญิงเสียแล้ว
ถือเป็นการทำลายความชอบธรรมของขบวนการเคลื่อนไหวของผู้หญิง
นอกจากแนวคิดดังกล่าวที่กล่าวมาแล้วนั้น
ยังมีแนวคิดสตรีนิยมแนวรัฐสวัสดิการ
และแนวคิดสตรีนิยมผิวดำและสตรีนิยมในโลกที่สาม
ซึ่งมีหลักการคิด คือ
2.9. สตรีนิยมแนวคิดรัฐสวัสดิการ
เป็นแนวคิดที่เน้นในเรื่องสวัสดิการของผู้หญิงเป็นหลัก
ผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับสวัสดิการที่ดี
ที่เหมาะสมในฐานะมารดาและภรรยา
ขณะเดียวกันผู้ชายก็ต้องเข้ามามีบทบาทและรับผิดชอบต่อผู้หญิงในฐานะมารดาและภรรยาเช่นเดียวกัน
แนวคิดนี้เน้นให้เห็นคุณค่าของผู้หญิงในบทบาททั้งสองที่สังคมคาดหวัง
แนวคิดนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสวัสดิการ
ครอบครัว ผู้หญิง
และต่อผู้หญิงในบริการสัวสดิการในฐานะมารดา อ คนงาน
สิทธิส่วนบุคคลของผู้หญิง
2.10. แนวคิดสตรีนิยมผิวดำและสตรีนิยมในโลกที่สาม
แนวคิดนี้สนับสนุนแนวคิดสตรีนิยมแนงสังคมนิยม
โดยแสดงให้เห็นถึงการที่ผู้หญิงผิวดำถูกกดขี่ซ้ำซ้อนจากการกดขี่ต่างๆ
ทางสังคม เช่น จากคนผิวขาว
หรือเริ่มมาจากผู้ชายผิวดำ และระบบเศรษฐกิจ สังคม
รวมทั้งสตรีนิยมในโลกที่สามที่ถูกกดขี่ในลักษณะเดียวกันด้วย
จากแนวคิดสตรีนิยมในแนวคิดต่างๆ
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม ค่านิยม
ความเชื่อ แบบแผนต่างๆ
ในทางสังคมเป็นผู้กำหนดในเรื่องแนวคิดของสังคมต่อผู้หญิง
ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดใดก็ตาม จุดประสงค์หลักคือ
เน่นการแก้ไขความไม่เสมอภาคทางสังคม ถ้าเราสามารถนำแนวคิดต่างๆ
มาร่วมกันและพิจารณาสิ่งที่ดีที่สุดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ก็จะเป็นทางแก้ปัญหาความไม่เสมอภาคที่ดีที่สุด
3. วิเคราะห์ และเสนอแนะความเห็นว่า
จะนำแนวคิดเหล่านี้ ไปศึกษาสังคมในประเด็นใดได้บ้าง
การศึกษาสังคมในประเด็นแนวคิดสตรีนิยมนั้นเป็นการศึกษาที่คำถามว่าทำอย่างไรผู้หญิงจึงจะได้รับการพัฒนา
และมีความเสมอภาคเท่าเทียมกับผู้ชายอย่างแท้จริง
เพราะผู้หญิงในหลายสังคมมักถูกกีดกัน ถูกแบ่งแยก
ในประเด็นนี้ถ้ามีคำถามว่าทำไมไม่พัฒนาผู้ชาย
ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วควรที่จะพัฒนาทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
เพราะเป็นการพัฒนาคนไปสู่การพัฒนาสังคม
แต่ผู้หญิงจะมีปัญหาเชื่อมโยงมาจากแนวคิดวัฒนธรรมที่ตกทอดกันมานาน
ทำให้ผู้หญิงเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลอื่นในสังคมทั้งจากผู้ชายและผู้หญิงด้วยกันเอง
นอกจากนั้นการสร้างแนวความคิดของผู้หญิงให้กับตนเองแล้วการพัฒนาสตรียังจะรวมถึงการพัฒนาบุรุษด้วย
หรือการพัฒนาผู้ชายให้ยอมรับผู้หญิงในเรื่องความเสมอภาค
ความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์คนหนึ่งในสังคมและความแตกต่างระหว่างเพศไม่ได้หมายถึง
ความไม่เสมอภาคหรือความไม่เท่าเทียม
นอกจากนั้นแนวความคิดของผู้หญิงต่อผู้หญิงด้วยกันเองก็เป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง
บางครั้งผู้หญิงก็ประสบปัญหาเพราะผู้หญิงด้วยกัน
ในเรื่องของการแบ่งชั้นหรือการแบ่งแยกภูมิหลัง เช่น
การเลี้ยงดู การสืบสกุล การศึกษา อาชีพ
และการแต่งงาน
ซึ่งการศึกษาผู้หญิงตามแนวคิดที่กล่าวมาสามารถศึกษาได้ในหลายประเด็น
เช่น สตรีกับสิ่งแวดล้อม
การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี
บทบาทของสตรีด้านเศรษฐกิจในสังคมเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
การร่วมรับภาระในครอบครัว สตรีกับความยากจน
สตรีกับสื่อมวลชน
สถานภาพของสตรีบนค่านิยมเชิงซ้อน
และความรุนแรงต่อสตรี เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าปัญหาในเรื่องความไม่เสมอภาคระหว่างเพศชายและหญิงนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา
โดยในที่นี้ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างการศึกษาในประเด็นปัญหาความรุนแรงต่อสตรี
ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่มีความสำคัญมากสำหรับสตรีไทย
ความรุนแรงของสตรีนั้นแบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ
ความรุนแรงต่อสตรีในครอบครัว ในชุมชน ในที่ทำงาน
ซึ่งหากวิเคราะห์ในทฤษฎีและแนวคิดสตรีนิยมแนวก้าวหน้าหรือแนวคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน
จะพบว่า ผู้ชายมีอำนาจและครอบงำในทุกด้านของรัฐ
(เช่นเดียวกับในสถาบันต่างๆ ของทุนนิยม) เช่น
การบริการประชาชน สถาบันทางสุขภาพ ประกันสังคม
บริการสังคม ที่อยู่อาสัย และด้านศาล
ซึ่งเรียกได้ว่า การปกครองชายเป็นใหญ่ (Patriarchy)
ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการมีอิทธิพลและการอยู่ใต้อิทธิพล
ซึ่งภาวะผู้ชายเป็นใหญ่มีอยู่ 2 ประเภท คือ
อำนาจของผู้ชายในการควบคุมของผู้หญิงในเรื่องเพศ
และศักยภาพในการสืบพันธุ์ของผู้หญิง
ซึ่งในประเด็นนี้จะศึกษาในด้านความรุนแรงของสตรีในครอบครัว
ที่สังคมต้องยอมรับว่าผู้หญิงถูกทำร้ายจากคนที่อยู่ใกล้ชิดเธอมากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือพ่อ พี่ชาย
ซึ่งในจุดนี้หากมีการศึกษาสาเหตุ
วิเคราะห์ความเป็นมาของความรุนแรงเหล่านี้
จะทำให้สังคมสามารถขจัดปัญหาความรุนแรงที่มีอยู่ในสตรีทุกสังคม
หรือการลดอัตราการเกิดให้น้อยลงได้
และในอีกด้านหนึ่งคือ
สาเหตุของความก้าวร้าวของผู้ชาย คือ
การมีพละกำลังเหนือผู้หญิง โดยเฉพาะเรื่องเพศ
เช่น
ผู้ชายสามารถบังคับผู้หญิงร่วมเพศได้โดยที่ผู้หญิงไม่ต้องการ
ซึ่งเป็รสาเหตุของการทารุณทางเพศ
การข่มขืนในทุกรูปแบบ
ซึ่งการวิเคราะห์ในแนวคิดนี้จะทำให้ทราบว่าแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนจากสังคมทุนนิยมมาเป็นสังคมนิยมก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงจะไม่ถูกกดขี่
เพราะจุดเน้นที่ทำให้เกิดความรุนแรงต่อสตรีคือ
การปกครองแบบชายเป็นใหญ่
ซึ่งการศึกษาความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อผู้หญิงในสังคมที่ต่างกันออกไปจะทำให้หาแนวทางในการลดช่องว่างของการปกครองแบบชายเป็นใหญ่
จนทำให้ผู้หญิงต้องตกเป็นเครื่องมือทางอารมณ์ของผู้ชาย
โดยจะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์โดยแนวคิดนี้นั้นมองปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากโครงสร้าง
หากจะมีการขจัดปัญหาความรุนแรงในสตรีอย่างเป็นรูปธรรมก็น่าจะมีรื้อโครงสร้างของสังคมที่จะยังเน้นบทบาทของผู้ชายหรือเอื้อต่อการกระทำบทบาทชายมากกว่าหญิง
อาจจะเป็นการจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อดำเนินการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของสตรี
และผู้รับเรื่องราวเหล่านั้นก็น่าจะเป็นสตรีด้วยกัน เช่น
การให้มีตำรวจที่เป็นสตรีในกรณีการสืบสวนหรือสอบสวนคดีของผู้หญิงกับผู้ชาย
ไม่ใช่มีแต่ตำรวจชายฝ่ายเดียว เป็นต้น
อ้างอิง
วันทนีย์ วาสิกะสิน. 2543. สังคมสงเคราะห์แนวสตรีนิยม :
ทฤษฎีและการปฏิบัติงาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วารุณี ภูริสินสิทธิ์ .แนวคิดสตรีนิยมในสกุลความคิดต่างๆ .บทความบน
http://www.midnightuniv.org/datamid2001/newpage17.html
ค้นเมื่อ 18 มกราคม 2550 ภาควิชาสังคมวิทยา
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วารุณี ภูริสินสิทธิ์ . ความเป็นเพศ (GENDER).
บนความบนhttp://www.midnightuniv.org/midnightuniv/newpage91.html
ค้นเมื่อ 18 มกราคม 2550
สมเกียรติ ตั้งนโม (แปล) .อีริค ฟรอม์ม, เฟมินิสม,
และแฟรงค์เฟริทสคูล. บทความบน http://www.midnightuniv.org/miduniv2546/newpage4.html
ค้นเมื่อ 18 มกราคม 2550 คณะวิจิตรศิลป์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สมเกียรติ ตั้งนโม (แปล) . Erich Fromm : แนวคิดสตรีนิยม มาตาธิปไตย
และสันติภาพ . บทความบน http://www.midnightuniv.org/miduniv2546/newpage5.html
ค้นเมื่อ 18 มกราคม 2550
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
[1] สาขาวิชาสังคมวิทยาการพัฒนา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
1. กรอบในการศึกษาสตรี ?
2. กฏวิวัฒนาการการศึกษาสตรี ?
3. กระบวนทัศน์โครงสร้างนิยม
4. กระบวนทัศน์การประกอบการสร้างทางวัฒธรรม
5. กระบวนทัศน์หลังสมัยใหม่
ปัญญาอ่อน คุณคิดจะฝืนกฎธรรมชาติขอบอกได้เลยว่า
ผู้ชายไม่มีวันที่จะยอมแพ้และเขาก็เอาผู้หญิงตายห่าโหงด้วย
ถ้าไปกระทบสิทธิประโยชน์เขาแม้เพียงสตางค์เดียว
ตัวอย่างเห็นอยู่ง่ายๆ
ความเท่าเทียมกันทางด้านสิทธิและแนวคิดของนักเคลือนไหวสิทธิสตรีคงต้องแก้ไปตามยุคตามสมัยที่เปลี่ยนไปไม่ได้เฉพาะเจาะจงมุ่งประเด็นด้านสตรีเพียงด้านเดียวในขณะเดียวกันบทบาท patriarchy ปัจจุบันก็ยังปรากฎขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ และในนิยามของสตรีนั้้นคงไม่ได้หมายความว่าเป็นเครื่องจรรโลงใจให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเดียว ไม่พอใจหรือไม่ชนะในที่สุดต้องใช้อารมณ์ตัดสิน คนประเภทนี้เขาจะมองเศษสตางค์เเพียงเพื่อได้ประโยชน์เข้ากับตัวเองเพียงด้านเดียว
ขอบคุณมากสำหรับเนื้อหาที่ดีแบบนี้
ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ
แล้วก็สำหรับคุณ นางฟ้าฮองเฮา [IP: 182.53.43.205]
มันคือเรื่องปัญญาอ่อนหรอคะ? แล้วก็ไม่ใช่การฝืนธรรมชาติด้วย อะไรคือสิ่งที่คุณมายึดว่านั่นคือธรรมชาติ? บ้ารึเปล่าคะ? แล้วที่ว่าผู้ชายไม่มีวันยอม เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะแยะผู่ชายที่มองเห็นถึงความสำคัญของสิทธิหน้าที่ เสรีภาพของผู้หญิง
คุณไปเก็บกฏที่ไหนมารึเปล่าคะ? อ่านที่คุณพิมพ์แล้วทนไม่ได้จริงๆ
พวกเฟมินิสต์จะคิดว่าผญคือจุดศูนย์กลางของทุกๆเรื่องนะคะ
คำอ้างแถที่ว่า ความเท่าเทียมแต่ลึกๆอยากมีมากกว่า
ไม่อย่างนั้น ทำไมสตรีถึวอยุ่เปนโสดมากขึ้น
อันนี้ใครว่าไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่า สตรีที่ด้อยศักยภาพด้านสังคมการเข้าหาระหว่างเพศเพื่อสร้างครอบครัวกำลังเลวร้ายมากขึ้น
ที่เขาคาดการณ์คงเป็นจริงๆสตรีไทยจะเป็นโสด1ของโลก ที่ว่าไม่ได้มีแค่เพราะบทบาทที่พัฒนานะเท่านั้น แต่มีจำนวนมากที่ผชเขาไม่มองเหนถึงความสำคัญของการมีเมียที่ไม่เข้าใจในสภาพของผู้ชาย และมีส่วนหนึ่งที่สำคัญกว่าคือ เดี่ยวนี้ผชมีการเอียนเอียงคบหาผชด้วยกัน นันเปนเพราะว้าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญว่าสตรีมีคสามสำคัญในชีวิตของเขาและครอบครัวเลย
หรือคุณจะบอกว่าพวกเฟเปนเลสเบี้ยน กล้ายอมรับปะละคะ ถ้าใชก็ไม่แปลกไรที่เฟจะมีตรรกะแบบนี้ อิอิ
ชื่นชมกับการเผยแพร่ความรู้…โดยมิได้ย่อท้อต่อปัญหาที่ตามมา…ชื่นชมค่ะ
แต่เท่าที่เคยอ่านๆผ่านมา ผู้หญิงทำเพื่อผู้หญิง ผู้ชายก็จะมองเป็นปัญหาของผู้หญิงและถ้ามีผู้ชายมาเกี่ยวข้องด้วย ผู้ชายก็จะไม่ยอมรับและไม่ฟัง เพราะเขาคิดว่า ผู้หญิงมันก็ต้องเห๋็นแก่ผู้หญิงอยู่ดี ผู้ชายก็เลยทำตามใจและสัญขาติญาณ คือ จากเบาไปหาหนัก และหนักคือ การเอาถึงตาย เคยได้ยินมา ดังนั้น การกระทบสิทธิอะไรก็ตามถ้าผู้ชายเสียประโยชน์ สตรีน่าจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนไม่รู้จบ
เขาให้ความรู้เรื่องสตรีนิยมค่ะคุณนางฟ้าฮองเฮา
มันปัญญาอ่อนยังไงคะ แล้วผู้ชายไม่ยอมอะไรของคุณ
แม่คุณไม่ใช่ผู้หญิงเหรอคะ หรือว่าถูกพ่อคุณรังแกข่มเหงเป็นประจำเลยทำให้ความคิดแบบที่คุณพิมพ์
มันไม่เกี่ยวกับเพศหรอกค่ะเรื่องที่ ถ้าไปกระทบสิทธิประโยชน์ใคร ทุกเพศไม่เพียงแต่ชายหญิง
ก็ต้องปกป้องสิทธิตัวเองอยู่แล้ว พิมพ์อะไรออกมามันส่อถึงระดับการศึกษานะคะ
ว่างๆลองไปอ่านเกี่ยวกับนักโทษหญิงดูนะคะ หลายๆคนไม่ควรจะมาเป็นนักโทษด้วยซ้ำ
เหตุเกิดเพียงความเห็นแก่ตัวของผู้ชาย
"นางฟ้าฮองเฮา" จริงๆแล้วเป็นผู้ชาย
คือ ใจคุณจริงๆเป็นทาสผู้ชาย หรือ คุณเป็นผู้ชายแล้วแอบมาพูดเป็นผู้หญิงเหมือนความขี้โกงทั้งหลายที่ผู้ชายมักจะใช้กดขี่เพศหญิงให้อยู่ในการควบคุมไง
ผู้หญิงยุคนี้เป็นโสดมาแล้วไง หลายโสดและมีลูกก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
อีกอย่างผู้ชายไทยไม่มีความรับผิดชอบเท่าที่ควร หันหลังเป็นอันเจ้าชู้ซึ่งมันผิดศีลธรรมในทุกศาสนา แล้วถ้าผู้ชายมันจะเอากันเองก็ห้ามไม่ได้หรอก เพราะมันเรื่องของเค้า อีกอย่างยุคนี้ผู้หญิงไทยนิยมแต่งงานกับคนต่างชาติด้วยซํ้า
ส่วนใหญ่พวกสตรีนิยมคือพวกไม่รู้จักธรรมขาตินิยม Naturalism ซึ่งทุกเรื่อง ธรรมชาติไม่ได้กำหนดให้ชายหญิงเท่าเทียมหรือเหมือนกันทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลัง ความเป็นอยู่ อัตลักษณ์ทางเพศ รวมถึงวืถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่พวกสตรีนิยมหลายๆตัวมักจะเอาข้อเปรียบเทียบของผู้ชายบางประการเพื่อให้ตัวเองทำได้ โดยต้องมีตัวช่วย
สมมุติ เช่น บุรุษวิ่งได้ถึง10กม.ในเวลา5นาที ได้รับค่าแรง100 ส่วนสตรีวิ่งได้6กม.ในเวลา5นาที แต่อยากได้เงินเท่ากับบุรุษ ดังนั้นหลายๆเรื่องที่สตรีเอาบุรุษมาเป็นที่ตั้งจึงผิดธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติไม่เคยสอนว่าชายหญิงนั้นเท่าเทียมกัน มีแต่มนุษย์ปัญญาอ่อนเท่านั้นที่ฝืนคิดฝืนทำ
เมื่อฝืนธรรมชาติจึงเกิดความไม่ชอบ จึงต้องมีการทำลายเพื่อความอยู่รอดโดยธรรรมชาติ
เพราะฉะนั้น ถ้าฝ่ายชายกระทำรุนแรงต่อสตรีทุกรูปแบบเหตุเพราะสตรีนั้นโง่ไม่รู้จักธรรมชาติของผู้ชาย
มันก็สมควรแล้ว และถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกวันนี้ความรุนแรงทางเพศมีมากๆขึ้น นี่คือธรรมชาติลงโทษพวกวัวลืมตินไม่รู้จักเพศของตัวเองดีพอ
ปล.แนวคิดธรรมชาตินิยมผู้ใช้หลักการข้อเท็จจริง
น่าสนใจ!!!!
เบื้องต้นเราพบว่าเมื่อสังคมมีความเจริญก้าวหน้า ก็ค้นพบการเปลี่ยนผ่านที่ยิ่งใหญ่ คือ การออกจากยุคสมัยใหม่ ที่เชื่อว่าทุกอย่างมีคำตอบตายตัว ไม่หยุดนิ่ง มีความจริงสูงสุด .... ยุคนี้ เราเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นกับสิ่งที่อยู่ภายใต้ปรากฎการณ์ ไม่ใช่ตัวปรากฎการณ์ แม้กระทั่งความเป็นเพศเองก็ไม่มีคำตอบตายตัว
สตรีนิยมมีหลายสาย อย่าง Pist modern คือ เชื่อว่าไม่มีความเป็นเพศ มีแต่ปฏิบัติการและอำนาจของวาทกรรม ที่ผลิตผ่านสถาบันทางสังคม แปลว่า เราทุกคนล้วนแต่อยู่ภายใต้อำนาจและทำได้เพียงการต่อสู้ ต่อรอง .... สภาวะของความเป็นหญิง ถูกตอบคำถามไปนานแล้วว่า เป็นสิ่งประกอบสร้างทางสังคม ทีต้องถามต่อ เราจะทำอย่างไรให้เกิดการต่อสู้ต่อรองเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเพศ (ก้าวข้ามข้อเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมางเพศไปแล้ว)