ความจริงเรื่อง...ระบบหลักประกันสุขภาพ
น่าสนใจว่าแปดปีที่ผ่านมาของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ งบประมาณจาก 1202.4 บาทต่อหัว ในปี 2545 เพิ่มเป็น 2,401.3 บาท ในปี2553 เม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นจาก 23,796 ล้านบาท มาเป็น 89,385 ล้านบาท เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นกว่า 224% ส่วนงบฯบริหารของสปสช.นั้นแยกต่างหากได้มาปีแรกคือปี 45 จำนวน 1,600 ล้านบาทคิดเป็น 3% ของงบกองทุน หลังจากนั้นมาก็ได้รับลดลงอยู่ราวๆ 600กว่าถึง 900กว่าล้าน ปี 52 ได้ 1 พันล้าน หากเทียบเปอร์เซ็นต์ก็ 0.9%ของงบกองทุน ซึ่งน้อยมาก
เงินกองทุนแต่ละปีที่มีจำนวนมากไหลเข้ามาในระบบหลักประกันฯส่วนหนึ่งต้องตัดไปเป็นเงินเดือนซึ่งมีสัดส่วนไม่สูงและแนวโน้มไม่เพิ่มขึ้นมาก เพราะจำนวนบุคลากรเพิ่มไม่มาก(ยกเว้นปีที่ผ่านมาที่โรงพยาบาลต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดจนตั้งตัวไม่ทัน) งบประมาณที่ได้มาหักเป็นค่าเงินเดือนไม่มากอย่างเช่นปี 52 งบฯ 8.9 หมื่นล้าน ก็หักเป็นเงินเดือนเพียง 2.8 หมื่นล้าน เงินส่วนที่เหลือก็ชดเชยบริการทั้งนั้นแต่อาจจะมาด้วยรูปแบบและเงื่อนไขแตกต่างกันตามลักษณะของการบริการในแต่ละประเภท เร็วบ้างช้าบ้างขึ้นกับหลายปัจจัยรวมทั้งเรื่องการส่งเบิกของหน่วยบริการด้วย แต่ในที่สุดเม็ดเงินทั้งหมดก็ไปสู่หน่วยบริการหรือภาคประชาชนในพื้นที่ โดยจะไม่เหลือไว้ที่สปสช.
หลายคนคิดว่าระบบหลักประกันจะทำให้รพ.ล้มระเนระนาด ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามี แต่เป็นบางแห่ง และ ความจริงคือตั้งแต่มีระบบหลักประกันฯมีข้อมูลชัดเจน ว่าแนวโน้มเงินสดคงเหลือของรพ.ในสังกัดสป.สธในภาพรวมเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากปี45มี1.46หมื่นล้าน พอมาปี 52 เพิ่มเป็น 4.29 หมื่นล้าน วัสดุคงคลังก็เพิ่มขึ้นมาก แต่ มีข้อสังเกตว่า ข้อมูลการรับรู้รายได้ของรพ.ในสังกัดสธ.ในปี 52 มีประมาณ 4.5ล้าน ขณะที่ข้อมูลของสปสช.ระบุว่ามีการโอนเงินให้หน่วยบริการไปทั้งสิ้นห้าหมื่นกว่าล้าน เรียกว่าข้อมูลขาดหายไปหมื่นกว่าล้าน นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน ท่านผู้บริหารคงต้องตรวจสอบให้ดีว่ารพ.ตนเองประสบปัญหาลักษณะนี้หรือไม่ และหากมีปัญหาจริงก็คงต้องช่วยกันคิดว่า ในขณะที่ภาพรวมไปได้ คือมีเงินบำรุงคงเหลือในระบบค่อนข้างมาก แต่บางรพ.กลับขาดสภาพคล่อง
ในขณะที่ปริมาณผู้ป่วยก็เพิ่มขึ้นจริงเพราะที่ผ่านมาเขาขาดโอกาสมานาน แต่ก็เพิ่มขึ้นปีละไม่มาก นับสะสม ตลอดแปดปีที่ผ่านมาจาก 119 ล้านครั้งในปี 45 เป็น 140 ล้านครั้งหรือประมาณ 30% ซึ่งที่จริงแล้วหากเอาจำนวนประชากรมาหารก็ตกคนละ2ครั้งกว่าๆเท่านั้น พวกเราบางคนอาจป่วยและใช้บริการมากกว่านี้เสียอีก เมื่อมองทางด้านผู้ป่วยในก็เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-4%ต่อปีเพิ่มไม่มาก แม้แต่ช่วงหลังยกเลิกการเก็บ 30 บาท การใช้บริการก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอย่างที่หลายฝ่ายกลัวกัน
ก็ต้องขอยกย่องผู้ให้บริการทุกท่านจริงๆที่ได้ให้บริการด้วยความเสียสละไม่ย่อท้อ และชาวบ้านก็เห็นความดีอันนี้ เพราะจากการสำรวจของเอแบคโพลล์พบว่าประชาชนพอใจบริการถึง 90% และบริการที่ผู้ให้บริการทุกท่านได้ช่วยกันนั้นก็ดีจริงๆสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่บริการชั้นสองสำหรับคนจน แต่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง โดยเฉพาะโรคค่าใช้จ่ายสูง ที่ผู้ให้บริการทุกหน่วยได้ช่วยให้เขาไม่ต้องล้มละลายจากการเจ็บป่วย
----------------------------------------------------------------
ที่มา: เรียบเรียงจาก เนื้อหาบางส่วนของ เอกสารประกอบการบรรยาย เรื่อง "แปดปีที่ผ่านมาของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ...ความสำเร็จและความเสี่ยง" โดย นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)
12 มีนาคม 2553
-----------------------------------------------