สรุปสาระสำคัญของการวิจัย
1. ชื่อเรื่อง การศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1
2. ผู้วิจัย บุญโสม ดีเลิศ
3. ปีที่วิจัย พ.ศ. 2550
4. วัตถุประสงค์
4.1 เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1
4.2 เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำแนกตามการรับรู้ ตามตำแหน่งของบุคลากร ประเภทของสถานศึกษาและขนาดของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1
4.3 เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการและครูผู้สอน
5. วิธีการวิจัย
5.1 วิธีการ เป็นวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
5.2 กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนหรือรองผู้อำนวยการที่รักษาราชการแทนผู้อำนวยการ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1 กำหนดขนาดตัวอย่างในการเปิดตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน ได้ผู้บริหาร 181 คน ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 %
5.3 เครื่องมือ
5.3.1 ลักษณะของเครื่องมือ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 1 ฉบับ แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 เป็นข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ ตำแหน่งของบุคลากร ประเภทของสถานศึกษาและขนาดสถานศึกษา มีลักษณะคำถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List)
ตอนที่ 2 เป็นข้อมูลเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ดังนี้
5 หมายถึง ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ มากที่สุด
4 หมายถึง ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ มาก
3 หมายถึง ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ ปานกลาง
2 หมายถึง ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ น้อย
1 หมายถึง ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ น้อยที่สุด
ตอนที่ 3 เป็นส่วนข้อมูลข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการและครูผู้สอน มีลักษณะคำถามเป็นปลายเปิด
5.4 วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีขั้นตอน ดังนี้
5.4.1 ผู้วิจัยประสานงานของหนังสือราชการจากสาขาวิชาการบริหารการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการออกหนังสือราชการไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1 จังหวัดสุรินทร์ เพื่อติดต่อประสานงานกับโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาขออนุญาตเก็บข้อมูลในการทำวิทยานิพนธ์
5.4.2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1 แจ้งโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างและขอความร่วมมือจากผู้บริหารโรงเรียนอำนวยความสะดวกในการตอบแบบสอบถาม
5.4.3 ผู้วิจัยส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ ไปยังสถานศึกษาต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างและขอความร่วมมือให้ตอบแบบสอบถาม แล้วส่งกลับคืนเมื่อกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามเรียบร้อยแล้วให้นำมาฝากไว้ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1 โดยผู้วิจัยได้ขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ให้เก็บรวมข้อมูลและตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม ซึ่งเก็บได้ทั้งหมด 543 ชุด คิดเป็นร้อยละ 100 ใช้ระยะเวลาเก็บรวบรวมประมาณ 1 เดือน 27 วัน
5.4.4 ติดต่อขอรับแบบสอบถามส่วนที่เหลือจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 1 เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาจัดหมวดหมู่เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
5.5 วิธีวิเคราะห์ผล
5.5.1 สถิติที่ใช้ในการวิจัย
5.5.1.1 สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
5.5.1.2 ทดสอบสมมติฐานโดยค่าเอฟ (F-test) (one-Way AVOVA)
5.5.1.3 เปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่
5.5.2 การวิเคราะห์ข้อมูล
นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ ผู้วิจัยนำไปวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS for Windows (Statistical Package for Social Science ) โดยมีรายละเอียดดังนี้
5.5.2.1 ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม เพื่อนำมาวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
5.5.2.2 ข้อมูลตอนที่ 1 เป็นข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์โดยการแจกแจงความพี่และหาค่าร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม
5.5.2.3 ข้อมูลตอนที่ 2 เป็นข้อมูลระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง วิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อทราบระดับการปฏิบัติ และการกระจายของคำตอบจากกลุ่มตัวอย่าง
5.5.2.4 เปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ ตำแหน่งของบุคลากร ประเภทของสถานศึกษา และขนาดของสถานศึกษาโดยใช้สถิติค่าเอฟ (F-test) (one-Way AVOVA) แล้วทำการเปรียบเทียบรายคู่ตามวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe)
5.5.2.5 ข้อมูลตอนที่ 3 เป็นข้อมูลความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ วิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
5.6 การแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูล
5.6.1 การแปลผลวิเคราะห์ข้อมูล โดยพิจารณาจากคะแนนค่าเฉลี่ย โดยใช้เกณฑ์ในการแปลผล 5 ระดับ (บุญชม ศรีสะอาด. 2538 : 103)
4.51 – 5.00 หมายถึง ผู้บริหารมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ มากที่สุด
3.51 – 4.50 หมายถึง ผู้บริหารมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ มาก
2.51 – 3.50 หมายถึง ผู้บริหารมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ ปานกลาง
1.51 – 2.50 หมายถึง ผู้บริหารมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ น้อย
1.00 - 1.50 หมายถึง ผู้บริหารมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับ น้อยที่สุด
5.6.2 การแปลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้เกณฑ์ในการแปลผล 5 ระดับ (ทองสุข วันแสน. 2544 : 17) ดังนี้
0.00 - 0.30 หมายถึง มีระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกัน มากที่สุด
0.31 - 0.60 หมายถึง มีระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกัน มาก
0.61 - 0.90 หมายถึง มีระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกัน ปานกลาง
091 - 1.20 หมายถึง มีระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกัน น้อย
1.21 ขึ้นไป หมายถึง มีระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกัน น้อยที่สุด
6. ผลการวิจัย
6.1 ผู้บริหารสถานศึกษามีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ปรากฏว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสูงสุด คือ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ รองลงไปได้แก่ ด้านการคำนึงถึงปัจเจกบุคคล ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และด้านการกระตุ้นทางปัญญา ตามลำดับ
6.2 ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานตามการรับรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการและครูผู้สอนมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยภาพรวมเป็นรายด้าน 4 ด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่สอนในโรงเรียนต่างประเภทกันและอยู่ในระดับสถานศึกษาขนาดต่างกันรับรู้ถึงภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงโดยภาพรวมและรายด้าน 4 ด้าน แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
6.3 ข้อเสนอแนะการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญในแต่ละด้าน มีดังนี้
6.3.1 ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ เสนอแนะให้ทำงานโดยมีการวางแผน มีวิสัยทัศน์ เป็นแบบอย่างแก่คนอื่น และปฏิบัติตนได้เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่
6.3.2 ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ เสนอแนะให้แสดงศักยภาพในการทำงาน ส่งเสริมทักษะและส่งเสริมทัศนคติที่ดี และมอบหมายงานตามความสามารถตามความต้องการของครู
6.3.3 ด้านการกระตุ้นทางปัญญา เสนอแนะส่งเสริมการทำงานเป็นทีมประสานงานให้มากและคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนร่วม
6.3.4 ด้านการคำนึงถึงปัจเจกบุคคล เสนอแนะให้ความสำคัญกับงานทุกคน พร้อมให้การสนับสนุน มีความเป็นกันเองและรักษาสิทธิ์ของทุกคน
ไม่มีความเห็น