โรคฟันผุเป็นปัญหาทันตสุขภาพที่สำคัญของประชาชนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กก่อนวัยเรียน จากผลการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากระดับประเทศ ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2549-2550 พบว่า เด็กกลุ่มอายุ 3 ปี มีอัตราการปราศจากฟันผุ เท่ากับร้อยละ 38.6 และภาคใต้มีเด็กปราศจากฟันผุ เท่ากับร้อยละ 36.0 (กองทันตสาธารณสุข,2551) สำหรับจังหวัดปัตตานีมีอัตราการปราศจากฟันผุในเด็กกลุ่มอายุ 3 ปี ในปี 2548 – 2552 เท่ากับร้อยละ 17.3, 20.8, ปี 2550 ไม่มีการสำรวจ, 26.3 และ 32.9 ตามลำดับ และจากการสำรวจทันตสุขภาพเด็กในอำเภอยะหริ่ง ปี 2548– 2552 พบอัตราการปราศจากฟันผุในเด็กกลุ่มอายุ 3 ปี เท่ากับร้อยละ 1.9, 2.9, ปี 2550 ไม่มีการสำรวจ, 7.4 และ 13.4 ตามลำดับ (ฝ่ายทันตสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี,2551) ซึ่งนับว่า ต่ำ
มากเมื่อเปรียบเทียบกับระดับจังหวัดและประเทศ
โรคฟันผุในเด็กเล็ก ( Early Childhood Caries หรือ ECC ) มีลักษณะฟันผุหลายซี่ในช่องปากของเด็กเล็ก โดยเฉพาะฟันหน้าบน 4 ซี่ ฟันผุในฟันน้ำนมจะลุกลามจนถึงโพรงประสาทฟันได้รวดเร็วกว่าฟันแท้ เนื่องจากความหนาของเคลือบฟันและเนื้อฟันมีน้อยกว่า โรคฟันผุเป็นโรคติดเชื้อ เนื่องจากสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ โดยสามารถถ่ายทอดเชื้อจากแม่ หรือผู้เลี้ยงดูเด็กสู่ลูกได้ ผลกระทบของการมีฟันผุในฟันน้ำนม นอกจากจะเกิดความเจ็บปวด การติดเชื้อและปัญหาการบดเคี้ยวแล้ว ยังมีผลต่อน้ำหนัก และการเจริญเติบโตของเด็ก บุคลิกภาพที่ขาดความมั่น ใจในตนเอง และอาจมีผลต่อการเกิดฟันผุและพัฒนาการของฟันแท้ด้วย ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฟันผุใน
ฟันน้ำนม ได้แก่ ตัวฟัน อาหาร และเชื้อจุลินทรีย์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ ระบบภูมิคุ้มกัน
พฤติกรรมการเลี้ยงดู การทำความสะอาด พฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการกินนมขวด ฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาของพ่อแม่ รวมทั้งประวัติการมีฟันผุของคนในครอบครัว จากการศึกษาพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพเด็กของมารดา/ผู้เลี้ยงดูเด็กไทยมุสลิมที่มารับบริการในคลินิกเด็กดีโรงพยาบาลยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีของ นาริศา หีมสุหรี(2550) พบว่า มารดา/ผู้เลี้ยงดูเด็กมีพฤติกรรมการเช็ดเหงือกและฟันให้ลูก ร้อยละ 56.7 โดยเช็ดทุกวันเพียงร้อยละ 27.4 เท่านั้น เด็กแปรงฟันทุกวันร้อยละ35.3 ร้อยละ 18.4 ที่เด็กแปรงฟันเองก่อนแล้วผู้ใหญ่แปรงซ้ำ พฤติกรรมการกินนมขวด พบว่า ร้อยละ 31.9 ของเด็กเคยกินนมขวดเท่านั้นที่ดื่มน้ำตาม เป็นประจำ ร้อยละ 32.8 ปล่อยให้ลูกหลับคาขวดนมเป็นบางครั้ง ร้อยละ 22.1 เท่านั้นที่เลิกนมมื้อดึกไม่เกินอายุ 6 เดือน และร้อยละ17.1 ให้ลูกเลิกนมขวดไม่เกินอายุ 1 ปี
แนวทางที่เหมาะสมสำหรับเด็กกลุ่มนี้ ควรเน้นไปที่การป้องกันการเกิดฟันผุตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้น ซึ่งสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ช่วยให้สามารถเก็บรักษาฟันให้มีสุขภาพดีและใช้งานได้ เด็กก่อนวัยเรียนยังไม่สามารถดูแลตนเองได้ ในการพัฒนาด้านใด ๆ ก็ตาม ยังต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนเป็นอย่างมากจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่มีบทบาทในการดูแลเอาใจใส่และสร้างพฤติกรรมที่ถูกต้องให้แก่เด็ก
โรงพยาบาลยะหริ่งได้มีการดำเนินงานโครงการส่งเสริมทันตสุขภาพเด็กก่อนวัยเรียนมาตั้งแต่ปี 2536 โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การให้ทันตสุขศึกษาแก่มารดาหรือผู้ปกครองที่พาเด็กมารับวัคซีนในคลินิกเด็กดี การตรวจฟันเด็ก รวมถึงการแจกแปรงสีฟันอันดับแรกของหนูแก่เด็กที่มารับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่หนึ่ง เป็นต้น แต่จากผลการสำรวจทันตสุขภาพ ยังพบว่า มีปัญหาฟันผุในเด็กเล็กสูงมากในอำเภอยะหริ่ง แสดงว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาที่เน้นกระบวนการให้ความรู้แก่พ่อแม่นั้นยังไม่สามารถสร้างความตระหนักรู้และมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากลูกที่ดีได้ คงจะต้องอาศัยการส่งเสริมสุขภาพช่องปากอย่างเป็นองค์รวมถือเป็นกิจกรรมดำเนินการที่มีความ
สำคัญอย่างยิ่ง เพราะการดูแลสุขภาพช่องปากนั้นจำเป็นต้องอาศัยทั้งกระบวนการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งจากเจ้าหน้าที่ทันตบุคลากร เจ้าหน้าที่สาธารณ
สุขรวมถึงผู้ปกครอง บุคคลในครอบครัว ครูหรือผู้ดูแลเด็กที่ต่างต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบและมีการดำเนินการสร้างเสริมทันตสุขภาพในเชิงบูรณาการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโรคในช่องปากเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากมีการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกต้อง ดังที่ จอนสัน พิมพสาร และวิไลวรรณ ทองเกิด (2551 ) กล่าวว่า การที่จะแก้ปัญหาทันตสุขภาพในระดับชุมชนจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจระบบสุขภาพโดยรวม วิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมของชุมชนนั้นๆให้ถ่องแท้ จึงจะสามารถกระตุ้นและส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมที่จะดูแลสุขภาพของตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องได้
ร้อยละ 95 ของประชากรอำเภอยะหริ่ง นับถือศาสนาอิสลาม โดยมีคัมภีร์อัลกรุอานและอัลหะดีษ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างได้ทรงประทานลงมาให้แก่มวล
มนุษยชาติ การยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัดและครบถ้วนสมบูรณ์ จะนำพาให้ชีวิตของมนุษย์ไปสู่ความผาสุกได้โดยแท้จริง มิใช่เฉพาะ ชีวิตในปรโลกเท่านั้น แต่หมายถึงชีวิตในโลกนี้(ดุนยา)ด้วยเช่นกัน อิสลามถือว่า “ร่างกายเป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า การรักษาสุขภาพนั้นเป็นหน้าที่ (วายิบ) สำหรับมนุษย์” ดังนั้นเมื่อเจ็บป่วยจึงต้องรักษาไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม ส่วนการหายของโรคนั้น ขึ้นอยู่กับการกำหนดสภาวการณ์จากพระผู้เป็นเจ้า กระบวนการรักษาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลการรักษานั้น การเกิดโรคหรือความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่อัลลอฮ ทรงกำหนดมา เพื่อเป็นบททดสอบว่า จิตใจของคนคนนั้นมีความยึดมั่นในวิถีทางของมุสลิมมากเพียงใด นอกจากนี้อิสลามถือว่า ลูกๆนั้นเป็นสิ่งทดสอบจากอัลลอฮ และเป็นหน้าที่รับผิดชอบ(อามานะห์)ของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดูลูก อบรมเรื่องศาสนาและดูแลเรื่องสุขภาพ ทั้งทางกาย จิตใจ และทางสติปัญญาควบคู่ไปด้วย รวมถึงการให้ลูกๆได้รับอาหารที่ฮาลาล(อนุมัติ)และให้คุณค่าทางโภชนาการ(ต๊อยยีบัน) อย่างครบถ้วนก็ถือเป็นหน้าที่ของผู้เป็นพ่อแม่เช่นเดียวกัน อิสลามให้ความ
สำคัญต่อสุขภาพช่องปาก โดยถือว่า “ปากคือประตูแห่งสุขภาพ” หากสุขภาพช่องปากดีจะมีส่วนส่งเสริมให้มีสภาวะร่างกายจิตใจโดยรวมดีไปด้วย ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “แท้จริงฟันนั้น คืออัญมณีที่ขาวสะอาด มันจะเกิดความสกปรกด้วยเหตุจากการเคี้ยวอาหาร และด้วยสาเหตุดังกล่าว กลิ่นปากก็จะเปลี่ยนแปลงไป และจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นในโพรงจมูก (ประสาทดมกลิ่น) แต่เมื่อมนุษย์แปรงฟัน ความเสียหายดังกล่าวก็จะหมดไป และมันจะคืนสู่สภาพเดิม” และท่านศาสดามุฮัมหมัด (ศ็อลฯ) ยังกล่าวอีกว่า “ท่านทั้งหลายจงทำความสะอาดฟันเถิด เพราะแท้จริงมันคือส่วนหนึ่งของความสะอาด และความสะอาดนั้นคือ ส่วนหนึ่งของความศรัทธา(อีมาน) และความศรัทธานั้นจะอยู่ร่วมกับเจ้าของของมันในสวรรค์” ากรรม ส่วนการหายของโรคนั้น ขึ้นอยู่กับการกำหนดสภาวการณ์จาก
หาก เราสามารถเชื่อมโยงหลักศาสนากับการดูแลสุขภาพช่องปากได้ เราก็คาดหวังว่าจะ เกิดการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืนในการดูแลสุขภาพช่องปาก ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาถึงการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและเครือข่ายในการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 0-3 ปี ด้วยวิถีมุสลิม และการพัฒนารูปแบบวิธีการในการดูแลสุขภาพช่องปาก เด็กอายุ 0-3 ปี ด้วยวิถีมุสลิมโดยผู้ปกครองที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ( Participatory Action Research ; PAR) เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวเปิดโอกาสให้ชุมชน/กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของชุมชน/กลุ่มเป้าหมายด้วยความสมัครใจ โดยเริ่มต้นจากการร่วมศึกษาสภาพปัญหา ร่วมวิเคราะห์ปัญหา ร่วมหาแนวทางการแก้ปัญหา และลงมือปฏิบัติ แล้วมาร่วมติดตามและประเมินผล สะท้อนผลการปฏิบัติเพื่อปรับปรุง/แก้ไข ต่อไป ซึ่งผลการศึกษาวิจัยที่ค้นพบเป็นความรู้เชิงปฏิบัติการที่ได้จากการสืบค้นแบบมีส่วนร่วมระหว่างมุมมองของคนใน ( emic view ) ซึ่งหมายถึงคนในชุมชน และ คนนอก (etic view ) ซึ่งหมายถึงผู้วิจัยจากภายนอก โดยนำหลักศาสนาและวิถีมุสลิมมาใช้ในการแก้ปัญหา ตามนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของอำเภอยะหริ่ง ปี 2553 ที่นำหลักศาสนานำการสาธารณสุขมาใช้ในการแก้ปัญหาสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินงาน และส่งผลให้เด็กอายุ 0 -3 ปี มีสภาวะสุขภาพช่องปากที่ดีในอนาคต
ระเบียบวิธีวิจัยและรูปแบบการศึกษา
@ ขอบเขตของประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
v ประชากร : ประชาชนหมู่ 2 ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี
v กลุ่มตัวอย่างและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง : โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งพื้นที่เป้าหมายเป็นเขตเทศบาล การคมนาคมสะดวก
ลักษณะกึ่งเมืองกึ่งชนบท ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มี
แนวทางการดำเนินชีวิตตามวิถีมุสลิมและเป็นพื้นที่ที่ผู้วิจัยมีความคุ้นเคย
เนื่องจากเคยดำเนินงานทันตสาธารณสุขในพื้นที่มาแล้ว
v กลุ่มเป้าหมาย : ผู้ปกครองที่มีลูกอายุ 0-3 ปี และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จำนวน 15 - 20 คน และเครือข่าย จำนวน 8-10 คน ที่ได้จากการสรรหา
@ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ( Participatory Action Research; PAR)
- ทีมวิจัย ประกอบด้วย ทีมวิจัยภายนอก ได้แก่ ผู้วิจัย/ทันตบุคลากร/เจ้าหน้าที่
สาธารณสุข จำนวน 4 คน และทีมวิจัยภายในชุมชนซึ่งได้จากการสรรหา จำนวน 4-5 คน
โดยมีขั้นตอนการวิจัย ดังนี้
1. ผู้วิจัย (ทีมวิจัยภายนอก) เลือกพื้นที่ศึกษาแบบเจาะจงเข้าพบผู้นำชุมชนเพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์โครงการวิจัยและสรรหาทีมวิจัยภายในชุมชนรวมถึงผู้ปกครองที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ และเครือข่าย
2. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการแก่ทีมวิจัยเกี่ยวกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
( Participatory Action Research; PAR) และเทคนิคการเป็นวิทยากรกระบวนการ(moderator)/
การเป็นผู้จดบันทึก(note taker)/การสังเกตแบบมีส่วนร่วม ( Participation Observation ) ในการจัดการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion)และการสัมภาษณ์ เจาะลึก( In-depth Interview )
3. จัดประชุมทีมวิจัยเพื่อร่วมวางแผนเกี่ยวกับรูปแบบการวิจัย/ขั้นตอนการวิจัย/การเก็บรวบรวมข้อมูล/เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลรวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูล
4. ทีมวิจัยภายในและภายนอกร่วมศึกษาบริบทชุมชนวิถีมุสลิมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ปกครอง และเครือข่าย
- บริบทของชุมชน
- วิถีมุสลิมและบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพช่องปาก
- อื่นๆ
5. ทีมวิจัยภายในและภายนอกร่วมศึกษาสถารการณ์ปัญหา ปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 0-3 ปี
- สภาวะสุขภาพช่องปากของเด็ก
- ความรู้/ทัศนคตื/พฤติกรรม ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากของกลุ่มเป้าหมายและของบุตร
-ระบบบริการ
6. ทีมวิจัยภายในและภายนอกร่วมจัดประชุมผู้ปกครองและเครือข่าย นำเสนอข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา เพื่อร่วมกันวิเคราะห์และกำหนดปัญหา / ค้นหาทางเลือกในการแก้ปัญหา และตัดสินใจเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาด้วยวิถีมุสลิม
7. ทีมวิจัยภายในและภายนอกจัดประชุมผู้ปกครองและเครือข่ายเพื่อวางแผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาด้วยวิถีมุสลิมโดยใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วม
8. ผู้ปกครองร่วมปฏิบัติการตามกิจกรรม ที่ได้ จากการประชุมในขั้นตอนที่ผ่านมา
9. ทีมวิจัยภายในและภายนอกจัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ หลังจากที่ผู้ปกครองปฏิบัติการตามกิจกรรม ที่ผ่านมา ร่วมติดตามและประเมินผลโดยสะท้อน
ผลการปฏิบัติเป็นระยะทุกเดือน เพื่อปรับปรุงและดำเนินการในเดือนถัดไป
10. ทีมวิจัยภายในและภายนอก ผู้ปกครองและเครือข่าย ร่วมกันถอดบทเรียน(AAR)ที่ได้ จากการปฏิบัติที่ผ่านมาเพื่อ
@ กำหนดรูปแบบวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 0-3ปี ด้วยวิถีมุสลิมโดยผู้ปกครองที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม
- การทำความสะอาดฟันเด็ก
- พฤติกรรมการบริโภคอาหาร
- พฤติกรรมการกินนมขวด
- อื่นๆ
@ สิ่งที่เป็นแรงจูงใจ/อุปสรรคในการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กรวมถึงวิธีการจัดการกับอุปสรรคนั้นๆ
11. ทีมวิจัยภายในและภายนอก ผู้ปกครองและเครือข่าย ร่วมประเมินผลการมีส่วนร่วม
ในประเด็น
- ระดับการมีส่วนร่วม
- ความพึงพอใจต่อกระบวนการและผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
- เงื่อนไข ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและเครือข่าย ในการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 0-3 ปี ด้วยวิถีมุสลิม
@ การเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล : แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพเด็กโดยผู้ปกครอง/แนวคำถามการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เจาะลึก/ แบบสังเกตพฤติกรรม/แบบสอบถามเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและความพึงพอใจต่อวิธีการที่ใช้ในการสร้างการมีส่วนร่วม
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล : โดยการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) การสัมภาษณ์ เจาะลึก( In-depth Interview ) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม ( Participation Observation ) และใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structure Interview) โดยมีการบันทึกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและบันทึกเสียง
@ การควบคุมคุณภาพของข้อมูล :
1. ใช้เทคนิคการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า(Triangulation) โดยข้อมูลเดียวกันทำการตรวจสอบซ้ำจากแหล่งที่มามากกว่า 1 แหล่งด้วยวิธีการที่แตกต่างกันมากกว่า 1 วิธีซึ่งข้อมูลที่ได้ต้อง ให้ผลที่สอดคล้องกัน
2. การคัดผู้ให้สัมภาษณ์ต้องเป็นผู้ที่สามารถชี้ประเด็นต่างๆได้ชัดเจนตรงตามวัตถุประสงค์การวิจัย
3. การขจัดสิ่งที่มีผลทำให้ข้อมูลบิดเบือนจากตัวผู้วิจัย โดยผู้วิจัยสร้างความคุ้นเคยกับกลุ่มเป้าหมายและเครือข่าย ใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของ กลุ่มเป้าหมายและเครือข่าย
@ การวิเคราะห์ข้อมูล : โดยผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้ ด้วยการจับประเด็นสำคัญ ตามแนวทางการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และนำเสนอข้อมูลในรูปการบรรยายและนำเสนอข้อความคำพูดประกอบ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. รูปแบบกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการดูแลทันตสุขภาพเด็กอายุ 0-3 ปี ด้วยวิถีมุสลิม
2. รูปแบบวิธีการในการดูแลทันตสุขภาพเด็กอายุ 0-3 ปี ด้วยวิถีมุสลิมโดยผู้ปกครองที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม และนำมาใช้ในการแนะนำ/ให้ทันตสุขศึกษา ในคลินิกเด็กดี ของโรงพยาบาลและสถานีอนามัยทุกแห่งของอำเภอยะหริ่งต่อไป
3. กลุ่มเป้าหมายและเครือข่ายสามารถนำหลักการการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
( Participatory Action Research ; PAR) ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เรื่องอื่นๆต่อไป
ข้อความขาดหายไปค่ะ
ความศรัทธานั้นจะอยู่ร่วมกับเจ้าของของมันในสวรรค์” ากรรม ส่วนการหายของโรคนั้น ขึ้นอยู่กับการกำหนดสภาวการณ์จาก...
ยังไม่มีผลหรือคะ อยากทราบผลค่ะ
นวลนิตย์ สสจ.
ขอดูตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล (เช่น แบบสอบถาม หรือสัมภาษณ์ ) ได้ไหมคะ
ผู้วิจัย...หมอตี เป็นหญิงเก่งและน่ารักแห่งวงการทันตสาธารณสุข ดินแดนลังกาสุกะครับ เป็นพี่หมอฟันที่น่ารักของน้อง ๆ ในจังหวัดปัตตานี ผมชอบการทำงานวิจัยแบบนี้ครับ ชาวบ้าน และชุมชน ต่างร่วมคิดร่วมขับเคลื่อน(ชาวบ้านคงภูมิใจ ที่ได้ร่วมเป็นผุ้วิจัยด้วย) สร้างกระแสให้ชุมชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของฟันน้ำนม ผู้ปกครอง เป็นผู้มีอิทธิพลต่อลูก การได้ไปนั่งคุย กับชาวบ้าน คงสนุกไม่น้อย ทุกคนมีศักยภาพเป็นของตนเอง ผมว่า ผู้วิจัย คงได้ประสบการณ์มากมาย จากผู้วิจัยร่วม(ผู้ปกครอง) ถึง พฤติกรรม และเหตุผลตามวิถีชาวบ้านในการดูแลทันตสุขภาพของเด็กเล็ก
คงอีกไม่นาน เน้อ เด็ก ๆ ต.ยามู จะปราศจากฟันผุ สู้... กู้ฟันน้ำนม ค๊าบบบบ
เป็นกำลังใจให้พี่ตีนะครับ ไว้ผมจะปรึกษางานวิจัยกับ ปรมาจารย์หมอตี นะครับ