ความโดดเด่นแห่งสมรรถนะของสตรีไทยได้ฉายแสงเจิดจรัสขึ้น ในทามกลางมนุษยชาติอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะเวลา ๒-๓ สัปดาห์ของเดือนสิงหาคม ปี ๒๐๐๔ อันคลาคล่ำไปด้วยความชุ่มเย็นของละอองฝนและปุยเมฆที่ปกคลุมแผ่นฟ้าของสยามประเทศ รวมทั้งโปรยปรายความยินดีปรีดาปราโมทย์ให้แผ่ซ่านไปถ้วนทั่ว ในดวงใจของมวลหมู่ชนชาวไทยทั้งปวง ด้วยข่าวความอหังกาหาญกล้าของสตรีไทยที่สร้างความฮือฮามหัศจรรย์ขึ้นในเวทีโลก จากชัยชนะอันใหญ่ยิ่งและกรรมสิทธิ์ครอบครองอันชอบธรรม ในเหรียญทองบ้างเหรียญทองแดงบ้าง เหรียญแล้วเหรียญเล่าในกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ที่รวบรวมผู้คนทั้งชายหญิงจากหลากหลายภูมิภาคกว่า ๒๐๐ ประเทศทั่วโลก นับเป็นความชื่นชมยินดีที่หลั่งไหลกันมาดุจสายธาร มีทั้งมาลัยน้ำใจที่เกิดจากดวงจิตอันบริสุทธิ์ รวมทั้งมาลัยแห่งรางวัลและสรรพสิ่งอันสูงค่าทางวัตถุต่างๆ ที่เกลื่อนกล่นมากมาย ชื่อของสตรีไทยนามว่า อุดมพร พลศักดิ์ หรือ น้องอร กับ ปวีณา ทองสุก หรือ น้องไก่ ที่คล้องเหรียญทอง รวมทั้ง อารีย์ วิรัฐถาวร กับวันดี คำเอี่ยม ที่คล้องเหรียญทองแดง จากพลังการยกน้ำหนัก และกลายเป็นกลุ่มสตรีไทยผู้พลิกผันประวัติศาสตร์ ที่สำนักข่าวดังอย่างเอพีได้รายงานข่าวกระหึ่มไปทั่วโลกว่า “นักยกน้ำหนักหญิงจากประเทศเล็กๆ ในตะวันออกเฉียงใต้ของเอเซีย ที่มีพื้นที่น้อยกว่ารัฐเท็กซัส แต่สามารถทำผลงานได้สุดยอด โดยคว้า ๒ เหรียญทอง และ ๒ เหรียญทองแดง ทั้งๆ ที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกายังไม่เคยได้เฉียดกรายสัมผัสเหรียญจากกีฬาประเภทนี้มาเลย” นอกจากนี้ยังมีน้องวิว หรือ เยาวภา บุรพลชัย คว้าเหรียญทองแดงจากการต่อสู้ในกีฬาเทควันโด และอาจจะมีหลายเหล่าสตรีไทยในอีกมากมายหลากหลายแขนง ไม่เฉพาะด้านการกีฬา ที่กำลังทยอยเป็นความหวังในการสร้างชื่อเสียง ให้นามของ Thailand ดังกระหึ่มไปทั่วโลก เป็นเกียรติประวัติแก่อนุชนรุ่นถัดไป
เกียรติประวัติของสตรีไทยในลักษณะเช่นนี้มิใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ในอดีตที่ผ่านมา ไทยเรามีทั้งวีรกษัตรีผู้ห้าวหาญ ดังเช่น สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ซึ่งเสียสละพลีชีพในสงครามยุทธหัตถี วีรกรรมหาญกล้าในการพิทักษ์ปกป้องรักษาเอกราชของไทย ที่ผู้นำสตรีเยี่ยงท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรแห่งเมืองถลาง ท้าวสุรนารีหรือคุณหญิงโมแห่งเมืองโคราช รวมทั้งสตรีไทยผู้ยืนแถวหน้าในฐานะหนึ่งเดียวแห่งจักรวาลความงาม ที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น เช่น อาภัสรา หงสกุล และภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก แม้แต่สตรีไทยในแขนงสาขาอื่นที่มิได้เอื้อนเอ่ยไปถึงอีกมากมาย ล้วนแล้วแต่มีสมรรถนะเป็นพลังภายในที่แฝงเร้นอยู่ภายในกายใจแทบทั้งสิ้น
ในอดีตของห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา สมรรถนะหรือศักยภาพของสตรีไทย มักถูกสกัดกั้นมิให้มีการแสดงออก เพื่อปรากฏเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม โดยม่านประเพณีที่สืบต่อกันมา จะโน้มน้าวระบุถึงความแตกต่างระหว่างบุรุษกับสตรีที่มีมาแต่กำเนิดด้วยเรื่องเพศ หรือเกิดจากเงื่อนไขของสภาพแวดล้อม ที่สังคมแห่งบุรุษมักเป็นผู้กำหนดบทบาทต่างๆ จึงให้สตรีทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ตามที่มีความสงบเสงี่ยม กิริยามารยาทต้องเรียบร้อยอ่อนโยน ทำเฉพาะกิจส่วนใหญ่ที่เป็นงานบ้าน แม้จะมีสตรีในบางกลุ่มบางท่านได้แสดงพลังความเป็นผู้นำโลดแล่นสร้างสรรค์ให้เกิดความสำเร็จเชิงประจักษ์แก่สังคมในหลายหลากสาขาไปแล้วก็ตาม บทบาทที่เป็นความคิดเชยๆล้าสมัยดังกล่าวมักเป็นข้อปุจฉาที่สตรีไทยในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงสมัยนี้ เฝ้าพินิจพิจารณาท้วงติงอยู่ตลอดเวลาว่า บทบาทเพียงเท่านี้พอเพียงสำหรับศักยภาพสตรีไทยแน่หรือ?.....ในการศึกษาของ Gilligan นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แ ละคณะได้เสนอมุมมองของสตรีเพศ ที่มีลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะหลายประการ อาทิ การสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงและสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้คนต่างๆได้ดี การชอบความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน การตัดสินใจในเชิงศีลธรรมมักอยู่บนพื้นฐานของความห่วงใย ที่เน้นบริบทของความสัมพันธ์ เป็นต้น ขณะที่ข้อเขียนของ Rosennerที่ศึกษาเรื่อง นักบริหารสตรี (Noble,1993) พบว่ารูปแบบการเป็นผู้นำที่บุรุษทั้งหลายชื่นชอบ คือการสั่งและการควบคุม ในขณะที่สตรีชอบทำงานแบบมีปฏิสัมพันธ์ มีการแบ่งปันอำนาจและข้อมูลซึ่งกันและกัน แม้กระทั่งเรื่อง การพัฒนามนุษย์ก็มีความโน้มเอียง ให้ความสำคัญแก่บุรุษเพศมากกว่าสตรี อันเนื่องมาจากบุรุษเป็นผู้กำหนดกิจกรรม
สำหรับก้าวสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะของสตรีไทย น่าจะถึงเวลาที่จำเป็นจะต้องมีการเริ่มต้นกันอย่างจริงจัง โดยสังคมอันมีบุรุษเป็นกลุ่มชนที่ทรงอำนาจคอยตั้งป้อมสยายปีกกางกั้นด้วยทิฐิแห่งเพศ จะต้องกระทำตนวางจิตให้เป็นกลาง โดยลดพฤติกรรมที่น่ารังเกียจบางประการให้เหลือน้อยลง ไม่ว่าจะเป็น (๑) พฤติกรรมการมองสตรีแบบเหมารวมที่มีธงในใจว่า สตรีคือสัญญลักษณ์ของความอ่อนแอ ความไร้สาระและความวุ่นวายไร้เหตุผล (๒) การสร้างกำแพงความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมกันของบุรุษสตรี ที่มิได้คำนึงถึงข้อความจริงที่เกิดขึ้นในบริบทปัจจุบัน (๓) การมองฉาบฉวยเฉพาะเพียงความสวยงามแห่งเรือนกาย แทนการยอมรับในศักยภาพความสามารถของสตรี รวมทั้งความไม่พร้อมในการทำใจที่จะโค้งศรีษะ เปิดทางให้สตรีก้าวออกไปยืนอยู่แถวหน้าในฐานะผู้นำ และ (๔) การสร้างรูปแบบการกล่อมเกลาเด็กให้ก้าวเดินไปสู่บรรทัดฐานทางสังคม ที่สร้างแบบฉบับเชิงความมีอำนาจ มอบไว้แก่บุรุษในทุกกิจกรรมและทุกช่วงของเวลา
การพัฒนาสตรีไทยในยุคสมัยนี้จำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานในเรื่อง (๑) การยอมรับในคุณค่าความสามารถของสตรีในด้านต่างๆ (๒) การให้โอกาสในการได้เข้าสัมผัสประสบการณ์และกิจกรรมทั้งหลาย ทุกชนิด ทุกประเภทที่เคยระบุว่าเป็นอาณาจักรของบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา การทำงาน การประกอบอาชีพ การแสดงความสามารถ รวมทั้งการแสดงความคิดเห็น โดยปราศจากการสกัดกั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม (๓) การให้ความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมสตรีด้วยความจริงใจทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง และ(๔) การแบ่งปันพลังอำนาจภายใต้ขอบข่ายแห่งความเป็นประชาธิปไตย โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมและพลังความสามารถเป็นหลัก
สตรีไทยทุกท่านในทุกๆวงการพร้อมหรือยัง? ที่จะผนึกกำลังสมานสามัคคี ร่วมกันพัฒนาสมรรถนะของกลุ่มสตรีไทยในภาพรวมของมวลชน ให้ทุกๆท่าน ไม่เฉพาะบางกลุ่มบางท่านสามารถเชิดหน้าก้าวเดินไปยืนอยู่เคียงข้างกับบุรุษทั้งหลาย ด้วยความสง่างามและเชื่อมั่นในพลังแห่งศักยภาพส่วนบุคคลที่ทุกท่านมีอยู่ รวมทั้งพร้อมจะทำหน้าที่ผู้นำในเวลาและโอกาสอันเหมาะสมได้ตลอดเวลา ภายใต้กรอบวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของสังคมไทย....
(จุลสารสถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา ฉบับที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๗)
สวัสดีค่ะ
มาชื่นชมพลังสตรีไทยค่ะ