7. นัดให้คีโมครั้งที่2 และ3


คีโมอีกละ

 

 หลังจากที่น้าสาวได้ทำการคีโมครั้งแรกผ่านมาอาการก็เป็นปกติคือมีอาการแพ้ยาบ้างแต่ก็ไม่มาก มีเพลียบ้างช่่วง 1-2 วันแรก กินอะไรไม่ค่อยได้ ปากคอแห้ง แต่พยามกินน้ำต้มที่ใช้หญ้าปักกิ่งต้ม และตอนเช้าก็กิน อาหารเสริมที่ใช้สำหรับคนป่วยที่จะต้องให้อาหารทางสายยาง โดยใช้ชงเหมือนนมแล้วผสมเกล็ดข้าวกล้องที่ไม่มีส่วนผสมของสารปรุงรส กินเหมือนกินโจ๊ก ทำให้กลืนได้ง่ายไม่เจ็บคอ และไม่มีรสชาติทำให้ไม่อยากอาเจียน ช่วงเวลา 1-2 วันนี้สังเกตุว่าจะไม่ค่อยหิว กินน้อย แต่ต้องบังคับให้กินตามเวลา ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ต้องพยายามกินให้มากมื้อสรุปรวมๆ ได้ดังนี้

อาหารประจำวันช่วงให้คีโม ที่น้าสาวกินคือ
1. เกรดข้าวกล้องผสม นีโอ-มูน อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการโปรตีนและพลังงานสูง นมที่เป็นอาหารสำหรับคนป่วยที่ให้อาหารทางสายยาง (จะมีขายตามร้านขายนมเด็กและร้านขายยาแถวหน้าโรงพยาบาลส่วนมากจะมี) จะเขียนว่า อาหาร ทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการโปรตีนและพลังงานสูง เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยที่มีความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้นภายหลังการผ่าตัด หรืออุบัติเหตุ , แผลไฟลวก ราคากระป๋องละประมาณ 300 กว่าบาทถึง 400 ค่ะ ควรกินตอนเช้า หรือตอนที่ให้คีโม เพราะคนป่วยจะขาดโปรตีนใช้ตัวนี้ช่วยได้มากมายเลย คนป่วยจะไม่ค่อยเพลีย ปกติจะเพลียมากเป็นอาทิตย์ และที่สำุคัญกินง่ายเพราะไม่มีรสชาติ กินได้เหมือนกินนมธรรมดา เพราะคนป่วยช่วงนี้จะกลืนอะไรไม่ค่อยได้จะเจ็บคอเพราะผลข้างเคียงของยาที่ให้ ถ้าคนป่วยแพ้ยาไม่มากก็จะดีเพราะบางคนแพ้มากแล้วจะกลัวการให้คีโมบางคนกลัวแล้วไม่ยอมไปให้ต่อ จนมันลุกลามมากต้องไปตามหมอสั่งเสมอ ส่วนอาหารเสริมตัวนี้ช่วยได้มากเพราะน้าสาวแกไม่กินเนื้อสัตว์อีกเลย กินแต่ปลา

2. อาหารทั่วไปที่น้าสาวกินคือ ผัดผักบุ้ง ไม่ใส่น้ำตาล ใส่แต่ซีอิ้วขาว , ต้มจับฉ่ายใส่เต้าหู้ไม่ใส่เนื้อสัตย์ไม่ใส่เครื่องปรุงใส่แต่ซีอิ้วขาว, ข้าวต้มกินกับถั่วคั่ว ผัดผักบุ้งไฟแดงไม่ใส่เต้าเจี้ยว และน้ำตาล, ปลาสดทอด, ข้าวต้มเครื่องปลา, ต้มยำปลา, แกงต่างๆ ก็กินได้แต่ไม่ควรปรุงรส เพราะขิงข่า ตะใคร้ก็เป็นสมุนไพร แต่ช่วงให้คีโมยังกินไม่ใหวเพราะไม่อยากกินข้าว คงได้แต่ข้อ 1 ข้อ2  

3. คนรอบข้างและความเชื่อของคนป่วยค่ะ ต้องไม่กลัว และให้เชื่อเถอะว่ารักษาได้และหาย สิ่งสำคัญคือจิตรใจ ต้องเข้มแข็งและไม่กลัวมัน ร่าเริงเข้าไว้ ไม่ต้องห่วงและไม่ต้องทุกข์กับอะไรอย่างอื่นมาก ถ้าหายแล้วค่อยกลับไปคิดเรื่องอื่น ตอนนี้ให้เชื่อมั่นก่อนว่าต้องหาย และไม่ต้องฟังคนอื่น ดิฉันจะสั่งน้าสาวไว้เลยว่า ไม่ต้องฟังคนอื่นคนอื่นเค้าไม่มีความรู้ เราจะเชื่อเค้าได้หรือ ชอบมาพูดว่าเป็นแล้วตายแน่ๆ รักษาไม่หายบ้างละ คนป่วยฟังแล้วใจเสีย หมดกำลังใจต่อสู้ (แค่ต้องงดของกินก็แย่แล้ว) ต้องไม่ฟังเรื่องพวกนี้ สนใจและให้อ่านสาระที่มีความรู้ในเรื่องการดูแลรักษา การปฏิบัติตัว และต้องเขื่อเสมอว่าจะต้องหาย คนอื่นยังหายได้เลย ทำไมเราจะหายไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราว่าจะสู้หรือถอย ในเรื่องการรักษา หมอรักษาเท่ากัน ทุกคนแต่ ในเรื่องจิตรใจของคนป่วยไม่เท่ากัน ใครสู้ก็รอดใครไม่สู้ก็แย่ลง อย่างที่เราเคยเห็นกัน สู้เท่านั้น ส่วนเรืองอื่นเป็นแค่ตัวช่วยค่ะ

มีบทความที่ได้มาจาก web ของ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ใครสนใจลองคลิกเข้าไปดูเป็นการยืนยันทางการแพทย์ว่ามะเร็งรักษาหายจริงๆ แต่อยู่ที่ผู้ป่วย

http://www.cccthai.org/images/stories/new_clipping/new_Clipping_01-2553/2009-01-29_khomchadluk.pdf

ไว้มาเล่าต่อรอบหน้าจะทำการผ่าตัดแล้ว

หมายเลขบันทึก: 338585เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2010 17:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

โรคมะเร็ง

+++ แรกเริ่มเดิมที++++

มีใครรับรองให้เราได้บ้างว่า โรคที่เราเป็นอยู่หรือก้อนที่เราเป็นอยู่นั้นจะไม่มีโอกาสโตขึ้นหรือพัฒนาเป็นเนื้อร้ายและเราสามารถควบคุมให้ขนาดก้อนอยู่เท่าเดิมได้ หรือถ้าผ่าตัดไปแล้วจะกลับมาเป็นอีกรึเปล่า

การทานยา ฉีดยา ผ่าตัด ฉายแสง และการให้เคมีบำบัดหรือ คีโม ล้วนเป็นการรักษาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น และสร้างความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสให้กับคนไข้ คุณคงเคยได้ยินได้ฟังมาว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง จะเสียชีวิตจากการรักษา จะเห็นคนไข้มิใช่น้อย ที่มักจะปฏิเสธการรักษา เพราะมันทรมาน และไม่สามารถบอกได้ว่า สิ่งที่เป็นอยู่จะดีขึ้นหรือเปล่า

การที่เราได้ทำอะไรเกี่ยวกับร่างกายของเราครั้งที่ 1 แล้วมักจะมี ครั้งที่ 2 ....3 ตามมา เคยได้ยินเสียงบ่นมาว่า ทำไมยิ่งรักษาอาการยิ่งแย่ลง ก้อในเมื่อ ต้นเหตุจริง ๆ ของโรคยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย โรคทุกโรคนะคะ เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ทั้งนั้น ถ้าคุณมัวแต่ไปรักษาที่ปลายเหตุ เช่นพบเนื้อร้าย ก้อทำการผ่าตัดออกไป ถึงแม้จะทำการผ่าตัดออกไปแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นอีก ภายใน 6 เดือน 1ปี หรือ 2 ปี ก้อสุดที่จะทำนายได้ แน่นอนว่าการกลับมาของโรคคราวนี้มักจะหนักกว่าเดิมและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เพราะโรคทุกโรคมันไปตามเลือด หรือถ้าคุณเลือกที่จะฉายแสง รังสีสามารถที่จะทำลายได้ทั้งเซลล์ที่เป็นเนื้อร้ายและเซลล์ที่ยังดีอยู่ หรือถ้าเลือกที่จะทำเคมีบำบัดหรือคีโมแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง จริงๆ แล้ว คนไข้ที่โรคเป็นมะเร็ง ย่อมมีภูมิต้านทานต่ำร่างกายมีความอ่อนแอมากพออยู่แล้ว ยิ่งเราเพิ่มยาเคมีเข้าไปในร่างกาย ข้อดีคือ มันทำให้เซลล์มะเร็งลดลง แต่ในขณะเดียวกันก้อฆ่าเซลล์ดี ๆ ในร่างกายไปพร้อม ๆ กันด้วย และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าโรคทุกโรคมันไปตามเลือด

สำหรับคนที่ได้รับเคมีบำบัดในคอร์สแรก ตอนนั้นร่างกายของคุณมีเคมีอยู่ในร่างกายยังไม่มากนัก แต่พอเริ่มคอร์สสอง เข็มที่ 2 ถึง เข็ม ที่5 ถึงกับทนไม่ไหวกัน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันวิวัฒนาการ การให้เคมีบำบัดจะสามารถลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับคนไข้ได้ แต่ในความเป็นจริง ในการรักษานี้มีข้อจำกัดคือ เราไม่สามารถให้ยาในจำนวนมากๆ ในแต่ละครั้งเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติอื่น ๆในร่างกายตามไปด้วยอย่างมาก นั่นเป็นเพราะว่าโดยธรรมชาติร่างกายของคนเราไม่ได้มีเคมีอยู่ในร่างกายมากมายขนาดนั้น

ดังนั้นถ้ามีใครมาแนะนำอะไรก้อแล้วแต่ แล้ว............คุณยังต้องไปผ่าตัด ฉายแสง หรือคีโมอีก มันจะมีประโยชน์อะไร แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องการให้คุณมาศึกษาก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจเลือกและจะไม่มีการบังคับหรือให้คำแนะนำในทางที่ผิดเพราะชีวิตไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งเสี่ยงกัน คุณควรจะได้ข้อมูลจากผู้ที่มีความรู้และมีเคสคนไข้จริง ๆ ที่ช่วยไว้ได้เท่านั้น และคำว่าช่วยได้หรือหายจากโรคของเรานั้น จะวัดจากผลการตรวจทางการแพทย์เท่านั้น จะไม่มีการอ้างขึ้นมาลอย ๆ ว่าโรคหรือก้อนที่คุณเป็นอยู่หายแล้ว เราจะใช้เอกสารทางการแพทย์เป็นตัวอ้างอิง

ที่สำคัญคือ คนไข้ต้องมีกำลังใจที่ดี

*** 083-4655614 ***

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท