ในปัจจุบันนักวิชาการไทยเดินทางไปเรียนสู่ศาสตร์หลากแขนง หลายวิชาในประเทศที่เราเชื่อเขาว่ามีความเจริญทางการศึกษาเป็นจำนวนมาก และเมื่อเขาเรียนจบมาก็นำความรู้ ตาม "ความเชื่อ" ว่าบ้านเราล้าหลัง มีปัญหา เมื่อเรียนจบมาแล้วจึงกลับมา "สังคายนา" ระบบประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิมของเรากันยกใหญ่
ความรู้ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่เป็นทุนของชุมชนซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสมเป็นพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของบริบทที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่
การนำชุดความรู้ทั้งชุดอีกที่หนึ่ง มาใช้แก้ปัญหาอีกที่หนึ่งนั้นจึงกลายเป็นการสร้างปัญหาโดยปริยาย
การครอบความรู้ลงไปในสังคม สิ่งแวดล้อม หรือองค์ประกอบที่ต่างกัน ก็เปรียบเสมือนการปลูกถ่ายอวัยวะที่ร่างกายนั้นมีโอกาสที่จะปฏิเสธอวัยวะใหม่นั้น
อวัยวะที่ได้มาอย่างแสนยากเย็นนั้น นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่รับการปลูกถ่ายไปนั้น ยังจะเป็นโทษ เป็นภัยอันใหญ่หลวง ซึ่งสามารถนำมาซึ่งผลกระทบอย่างมากมายทั้งกับคนและสังคม
การสร้างเนื้อเยื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปจากภายในด้วยตัวของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดเมื่อร่างกายนั้นเกิดปัญหาหรือเกิดเจ็บป่วย
แต่การพักฟื้น ฟื้นฟูด้วยตัวของตัวเองนั้นอาจจะดูชักช้า ล้าสมัย ไม่ทันอก ทันใจ หรือไม่สามารถนำไปใช้สร้างผลงานทาง "วิชาการ"
แต่ตอนนี้เรามองผลประโยชน์กับคนไข้หรือว่าจะมองผลประโยชน์ที่เกิดกับหมอ ตอนนี้นักศึกษาเปรียบเสมือนคนไข้ ผู้บริหารก็เปรียบได้กับหมอ
การแก้ไขปัญหาครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะให้หมอได้กรณีศึกษาเพื่อที่จะไปเขียนตำราหรือสร้างเอกสารวิชาการ หรือว่าเรามุ่งหวังที่จะรักษาตัวคนไข้ที่กำลังบาดเจ็บเจียนตายประสบกับความทุกข์ทรมานในทุกลมหายใจ
นักศึกษานั้นมีค่ามากกว่าหนูตะเภา นักศึกษานั้นมีชีวิตมิใช่เป็นเพียง Case study หรือกรณีศึกษาให้เราค้นคว้าเพื่อทดลองทฤษฎีอะไร
ถ้าวันนี้เรายังจับหมอไปนั่งประชุมเพื่อคุยเรื่องวิธีการรักษากันอยู่ แล้วปล่อยทิ้งคนไข้ให้เป็นไปตามยถากรรม ชีวิตของคนไข้นั้นอาจจะไม่สามารถรอเราได้ถึงพรุ่งนี้
วันนี้เราเชื่อความรู้ที่เกิดจากห้องประชุม หรือเชื่อความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ ณ หน้างาน (Research to Routine)
ขอเพียงคืนหมอให้กับคนไข้ คืนอาจารย์ให้กับลูกศิษย์ ให้คนทั้งสองได้อยู่อย่างใกล้ชิด ความสัมพันธ์ที่แนบสนิทจะสามารถพิชิตปัญหาให้คลี่คลาย
ขอเพียงให้อาจารย์อยู่ทำงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ อยู่ในที่ที่นักศึกษาพบได้เมื่อเขามีปัญหา อาจารย์เป็นผู้มีความรู้ เมื่อนักศึกษาไม่รู้ขอให้เขามีโอกาสได้พบผู้ที่มีความรู้คือ "อาจารย์" นั้น
ขอเพียงทำงานให้กับนักศึกษาให้เต็มที่เต็มเวลาในเวลาทำงาน ไม่ต้องเบียดบังเวลาครอบครัวหรือเวลาของลูก เวลาทำงานก็ขอให้ทำงานอย่างเต็มที่ ชีวิตทำงานเป็นอาจารย์นี้อยู่และมีเพื่อ "นักศึกษา"
นักศึกษาหวังพึ่งพาอาจารย์มากนะ เขาศรัทธาเรา เราก็ไม่ควรทำลายความศรัทธาของเขา ขอให้เราอยู่เป็นเพื่อน เป็นมิตร อยู่ในสถานที่ที่ใกล้ชิดกับนักศึกษานั้นก็คือ "มหาวิทยาลัย"
มหาวิทยาลัย คือ สถานที่ที่มีองค์ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ องค์ความรู้นั้นมิได้อู่ที่ในตำราเล่มใด ๆ แต่ความรู้นั้นไซร้อยู่ในมือของ "อาจารย์"
ไม่มีความเห็น