รายงานเผยแพร่-วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
สรุปสถานการณ์ด้านสถานะบุคคลและสิทธิของคนไร้รัฐ/ไร้สัญชาติ
ประจำปี ๒๕๕๒
มกราคม ๒๕๕๓
ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล, ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว และกรกนก วัฒนภูมิ
สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ
(Stateless Watch for Research and Development Institute of Thailand-SWIT)
สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (Stateless Watch for Research and Development Institute of Thailand-SWIT) ได้จัดทำสรุปสถานการณ์ด้านสถานะบุคคลและสิทธิของคนไร้รัฐ/ไร้สัญชาติประจำปี ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ดังนี้
ด้านสถานะบุคคล
๑. ๔ ปียุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล
นับจากปี 2548 ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล (มติคณะรัฐมนตรี ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘) ได้วางตัวลงในสังคมไทยอย่างมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาคนไร้รัฐ/ไร้สัญชาติ ทั้งนี้ SWIT มีข้อสังเกตต่อยุทธศาสตร์ฯ ดังนี้
๑.๑ ๔ ปี บนเส้นทาง ...การขจัดความไร้รัฐไร้สัญชาติ จากข้อมูลภาคสนาม เราพบว่า การดำเนินการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติฯ ยังคงมีความล่าช้า และในพื้นที่ทำงานที่เป็นเครือข่ายการทำงานร่วมกับ SWIT ยังคงมีคนไร้เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ตกหล่นจากการสำรวจตามยุทธศาสตร์ฯ
๑.๒ ยุทธศาสตร์ฯ ว่าด้วยสิทธิ กับ ๔ ปีที่ไปไม่ถึง ภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ได้มีกำหนดยุทธศาสตร์การรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานแก่บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ทั้งนี้มีเพียงสิทธิบางประการที่ได้รับการรับรองโดยมีผลในทางปฏิบัติแล้ว อาทิ สิทธิทางการศึกษา การกำหนดสถานะการอยู่อาศัย รวมทั้งการอนุญาตให้เดินทางออกนอกพื้นที่ แต่สิทธิขั้นพื้นฐานอย่างสิทธิในหลักประกันสุขภาพ สิทธิในการทำงาน ยุทธศาสตร์ฯ ยังคงครอบคลุมไปไม่ถึง
๒. ๑ ปี ๑๑ เดือน ของกฎหมายใหม่ >> ข้อเด่นและข้อด้อย
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ สังคมไทยได้ประกาศใช้กฎหมายใหม่ ๒ ฉบับคือ พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร ฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๑ (บังคับใช้นับแต่วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) และพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ฉบับที่ ๔ พ.ศ.๒๕๕๑ (บังคับใช้นับแต่วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) กล่าวได้ว่ามีหลายเรื่อง หลายมาตราในกฎหมายใหม่ ๒ ฉบับนี้ที่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติของหลายแสนชีวิตในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ๑ ปี ๑๐ เดือนของการเดินทางของกฎหมายใหม่ทั้งสองฉบับ กลับพบว่า หลักการของหลายเรื่องในกฎหมายใหม่ ๒ ฉบับนี้ยังคงเดินไปไม่ถึงปลายทาง
กรณีกฎหมายสัญชาติ
๒.๑ ลูกพ่อไทย ยังคงไม่ได้รับการรับรองจากรัฐไทยว่าเป็นคนไทย เพราะกฎกระทรวงตามมาตรา ๗ วรรคสอง ยังไม่เสร็จ
๒.๒ เด็กที่เกิดในประเทศไทย แต่พ่อแม่เข้าเมืองผิดกฎหมาย และไม่ได้รับอนุญาตให้มีสิทธิอาศัยชั่วคราว ยังคงเป็น “คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตั้งแต่เกิด” เพราะกฎกระทรวงตามมาตรา ๗ ทวิ วรรคสอง ยังไม่เสร็จ
๒.๓ คนไทยตามมาตรา ๒๓ มีทั้งด้านดีและด้านที่มีอุปสรรค
ด้านเด่น: สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีความเห็นว่าคนไทยตามมาตรา ๒๓ นั้น เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด ดังนั้น จึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน
ด้านด้อย: พบว่ามีข้อจำกัดที่ ด้านหนึ่ง-มาจากการขาดความรู้ความเข้าใจของคนไทยตามมาตรา 23 เอง แต่อีกด้านหนึ่งก็พบว่าหน่วยงานทะเบียนราษฎรทั้งในระดับเทศบาล อำเภอหรือเขต ยังคงขาดความรู้ความเข้าใจต่อการลงรายการสัญชาติในทะเบียนบ้านในกรณีของคนไทยตามมาตรา 23, การไม่ลงวันที่รับคำขอ, การปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ล่าช้าเกินสมควร ในหลายจังหวัด
๒.๔ การมีสัญชาติไทยโดยการเกิด : การเลือกปฏิบัติที่แตกต่างต่อคนที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกัน (คนไทยตามมาตรา ๒๓ และคนไทยตามมาตรา ๗ ทวิ วรรคสอง)
กรณีกฎหมายการทะเบียนราษฎร
๒.๕ “ชาวบ้านแม่อาย ๑,๒๔๓ คน” >> ๔ ปีผ่านไปปัญหาวนกลับมาที่เดิม
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ คือวันที่ชาวบ้านแม่อายจำนวน ๑,๒๔๓ คน ถูกอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่เพิกถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎรประเภทคนไทย ทำให้ชาวบ้านทั้งหมดสูญเสียสถานะผู้มีสัญชาติไทยไปในพริบตา และด้วยกรณีนี้เอง ทำให้เกิดการแก้ไขพ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๕๓๔ โดยเพิ่มเติมเป็นมาตรา ๑๐ วรรค ๔ ให้นายทะเบียนมีอำนาจระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎรได้ อันเป็นมาตรการก่อนการมีคำสั่งเพิกถอนชื่อบุคคลออกจากทะเบียนราษฎร ในกรณีที่มีความสงสัยว่าการมีชื่อในทะเบียนบ้านนั้นอาจได้มาโดยไม่สุจริต
เดือนตุลาคม ๒๕๕๒ อำเภอแม่อายเป็นอำเภอแห่งแรกในประเทศไทย ที่ใช้อำนาจตามมาตรา ๑๐ วรรค ๔ นี้ กับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านในจำนวน ๑,๒๔๓ รายเดิม ในครั้งนี้คำสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎรของอำเภอแม่อาย ถูกตั้งคำถามถึงความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งอีกครั้ง ด้วยเพราะการออกคำสั่งดังกล่าว เป็นไปโดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริง และจนถึงปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่าอำเภอแม่อายมีคำสั่งยกเลิก คำสั่งระงับการเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎรแต่อย่างใด
๒.๖ การจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า >> ปี ๒๕๕๓ ปีแห่งการขับเคลื่อนร่วมกันของภาคีวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า
ในปี ๒๕๕๓ นี้ SWIT ร่วมกับภาคีเครือข่าย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) (ภายใต้โครงการพัฒนาองค์ความรู้และกลไกการทำงานเครือข่ายด้านสถานะบุคคลและสิทธิเพื่อผลักดันการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า ), องค์การแอคชันเอด ประเทศไทย หรือการร่วมกันของภาควิชาการและภาคองค์กรพัฒนาเอกชนในการบังคับใช้กฎหมาย คือพ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๕๓๔ ฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๑ และพัฒนาคู่มือการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างทางของการจดทะเบียนการเกิด โดยเป้าหมายก็คือการจดทะเบียนการเกิดถ้วนหน้า
๓. ความไม่โปร่งใสในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติ ๓ สัญชาติ >> คำถามระหว่างทางการจัดการประชากร (ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ) ข้ามพรมแดน
การพิสูจน์สัญชาติแรงงานข้ามชาติ ๓ สัญชาติ (พม่า ลาวและกัมพูชา) กลายเป็นประเด็นที่ตั้งคำถามต่อระบบและแนวทางการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติ รวมถึงความจริงใจของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาแรงงานข้ามชาติ ประเด็นความไม่โปร่งใส การคอรัปชันต่อการผุดขึ้นของ “บริษัทนายหน้า” ด้วยข้อกล่าวอ้างที่ว่า-เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแรงงานในกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ กลายเป็นคำถามที่ยังคงปราศจากคำตอบจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นคำถามระหว่างทางของการจัดการประชากร (ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ) ข้ามพรมแดน และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องตอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อหลักการหรือภาพรวมของการแก้ไขความไร้รัฐไร้สัญชาติของกลุ่มประชากรข้ามพรมแดน
ด้านสิทธิขั้นพื้นฐาน
๔. สิทธิในเสรีภาพการเดินทางของคนไร้สัญชาติ >> แรงเหวี่ยงของเครื่องบินกระดาษพับ
ที่ผ่านมา แม้จะไม่มีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับการเดินทางออกนอกประเทศไทยของคนไร้สัญชาติ แต่ในทางปฏิบัติแล้วคนไร้สัญชาติ เช่นกรณีของอาจารย์อายุ นามเทพ อาจารย์สอนดนตรีคลาสสิคแห่งมหาวิทยาลัยพายัพ สามารถเดินทางไปแสดงดนตรีและเข้าร่วมการแข่งขันในเวทีระหว่างประเทศหลายครั้ง การปฏิเสธไม่ให้เด็กชายหม่อง ทองดีเดินทางไปแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับที่ประเทศญี่ปุ่น จึงเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจ
วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ กระทรวงมหาดไทย ได้ออกประกาศเรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการส่งกลับและกำหนดเขตพื้นที่ควบคุม เพื่อกำหนดขั้นตอนกระบวนการการเดินทางออกนอกพื้นที่ (นอกเขตอำเภอ จังหวัดรวมถึงออกนอกประเทศ) ของคนไร้สัญชาติ ประกาศฉบับนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายลำดับรองที่ช่วยสร้างความชัดเจนในสิทธิเสรีภาพในการเดินทางของคนไร้สัญชาติให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นไปได้ว่ากระทรวงมหาดไทยอาจมีแนวทางที่จะดำเนินการอยู่แล้ว แต่กรณีของเด็กชายหม่อง ทองดี ก็ทำช่วยทำให้แนวปฏิบัตินี้ถูกประกาศใช้รวดเร็วขึ้น
๕. แรงงานข้ามชาติในกระบวนการยุติธรรม >> กรณีนางหนุ่ม ไหมแสงกับหนังสือเวียน รส.๗๕๑ ...ภาพสะท้อนช่องว่างของกระบวนการยุติธรรม
ในแง่ของการมีสุขภาวะที่ดี คุณภาพชีวิตของแรงงานข้ามชาติบนเส้นทางการพัฒนาได้เกิดบางคำถามต่อมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติของประเทศไทย ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ซึ่งแรงงานไทใหญ่ที่ชื่อ “นางหนุ่ม ไหมแสง” ได้กลายเป็นตัวแทนของแรงงานข้ามชาติ โดยร่วมกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระบวนการยุติธรรม ในการสร้างความชัดเจนให้กับคำถามดังกล่าวไปแล้ว
๔ คดีใน ๒ ศาลของนางหนุ่ม ไหมแสง คือการตั้งคำถามถึงความเป็นธรรม ผ่านจำนวนเงินทดแทนที่แรงงานคนหนึ่งๆ ได้รับ ซึ่งเป็นคำถามร่วมของแรงงานทุกที่ยังไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับนางหนุ่ม นั่นคือ ทำไมนางหนุ่มจึงไม่สามารถเข้าถึงกองทุนเงินทดแทน
๖. หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของคนไร้รัฐไร้สัญชาติ >> ก้าวที่ใกล้ ?
ปี ๒๕๔๔ คือปีที่ประเทศไทยประกาศใช้นโยบาย “๓๐ บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งเป็นรูปธรรมของ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นที่น่าดีใจว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้นครอบคลุมถึงคนทุกกลุ่มโดยไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่างด้านใดๆ แต่เกือบ ๔ ปีต่อมา บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ๓๐ บาท ก็ถูกดึงกลับจากกระเป๋าคนที่ไม่มีสัญชาติไทย ด้วยเหตุผลที่ว่า “บุคคล” ที่ปรากฏในมาตรา ๕ แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น ได้แก่ “ผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น”
ทั้งนี้ทาง SWIT เห็นว่าภาพรวมของการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนไร้รัฐไร้สัญชาติ จึงควรต้องถูกพัฒนาขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนไร้รัฐ/ไร้สัญชาติ ย่อมขึ้นอยู่กับจุดเกาะเกี่ยวที่แท้จริงตามข้อเท็จจริงของแต่ละคน ที่มีอยู่จริงกับสังคมไทย และแน่นอนว่า ย่อมไม่ได้หมายความว่า จะต้องร่วมจ่ายในอัตราสามสิบ (๓๐ บาท) หรือศูนย์ (0) บาท ณ จุดรับบริการ (Co-Payment) เสมอไป
สถานการณ์คนไร้รัฐไร้สัญชาติในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า (จังหวัดแม่ฮ่องสอน)
๗. ผู้มีปัญหาสถานะบุคคลที่ตำบลเสาหิน และตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน สูงร่วม ๘๐๐ คน
ช่วง ๒ ปีที่ผ่านมาที่ทาง SWIT ได้ทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย คือคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อการพัฒนาสังคม แผนกชาติพันธุ์ สังฆมณฑลเชียงใหม่, สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในพื้นที่ตำบลแม่คงและตำบลเสาหิน อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เราพบว่าพื้นที่ดังกล่าวประสบปัญหาทั้งในด้านสถานะบุคคลและสิทธิพื้นฐานด้านต่างๆ อันเนื่องมาจากข้อจำกัดในด้านภูมิศาสตร์ที่ห่างไกล
---------------------------------
ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม
ฉบับภาษาไทย
http://gotoknow.org/file/statelesswatch-swit/2552AnnualReport-Final-TH.pdf
ฉบับภาษาอังกฤษ
http://gotoknow.org/file/statelesswatch-swit/2553-02-15-2552AnnualReport-Final-Eng.pdf
ไม่มีความเห็น