มาตรฐานการจัดการฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเพื่อการส่งออก
(Standard Management Practices of Aquatic Farms for the Exporting)
คำนำ ประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อน มีภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลาสวยงาม ประกอบกับมีความหลากหลายของสายพันธุ์ จึงเป็นแหล่งส่งออกสินค้าปลาสวยงามและ พรรณไม้น้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำ ปีละกว่า 1,000 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าการซื้อขายทั่วโลกประมาณ 35,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อปี 14% (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528) และประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งออกปลาสวยงามไปยังสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าสูงติด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกงและอินโดนีเซีย ตามลำดับ โดยไทยมีปริมาณการส่งออกเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์ แต่อย่างไรก็ตามในการประกอบธุรกิจการส่งออกปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำของไทยยังมีปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือเรื่องของมาตรฐานสินค้า ทั้งนี้ในปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าได้มีการกำหนดเงื่อนไขมาตรฐานคุณภาพสินค้าที่สูงขึ้น เช่น ข้อกำหนดด้านโรคสัตว์น้ำ ศัตรูพืช สารปนเปื้อน จุลินทรีย์ และระบบการผลิตที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งเป็นอุปสรรคอันสำคัญยิ่งต่อการประกอบธุรกิจส่งออก กรมประมงโดยสถาบันวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ กองสิ่งแวด-ล้อมประมง และภาคเอกชน จึงได้จัดทำมาตรฐานฟาร์มและการจัดระบบการผลิตปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อการปรับปรุงผลผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานของผู้ซื้อเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ป้องกันการกีดกันทางการค้า เพิ่มมูลค่าการส่งออก ตลอดจนไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม 1. องค์ประกอบพื้นฐานของฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาสวยงาม1.1 ทำเลที่ตั้งของฟาร์ม ควรอยู่ในทำเลที่มีแหล่งน้ำมีคุณสมบัติเหมาะสมไม่มีการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารพิษประเภทอื่นๆ หรือถ้ามีก็มีในปริมาณน้อยที่สุด (ตารางที่ 1) มีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับใช้ในกิจกรรมการ เพาะเลี้ยงปลาตลอดปี มีแหล่งระบายน้ำทิ้ง มีการคมนาคมสะดวกและมีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน 1.2 แหล่งน้ำสำหรับการเพาะเลี้ยง แหล่งน้ำที่นำน้ำมาเลี้ยงปลาสวยงามควรมีปริมาณที่เพียงพอและมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ได้แก่ น้ำที่ปริมาณออกซิเจนละลายต้องไม่น้อยกว่า 3 มิลลิกรัมต่อลิตร มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อลิตร (ในขณะที่ปริมาณก๊าซออกซิเจนก็ควรมีอยู่เพียงพอด้วย) มีค่าความเป็นกรด – ด่าง (pH) 6 – 9 มีค่าความเป็นด่าง (Alkalinity) 90 – 200 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือสูงกว่าเล็กน้อย ความกระด้างประมาณ 75 หรือไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อลิตร มีอุณหภูมิน้ำ 23 – 32 องศาเซลเซียส มีความโปร่งใส 30 – 60 เซนติเมตร และมีปริมาณสารแขวนลอยไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อลิตร แอมโมเนียที่เป็นพิษต่อปลาไม่เกิน 0.02 มิลลิกรัมต่อลิตร คลอรีนซึ่งมีอันตรายสูงจากน้ำประปาหรือน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อ ต้องไม่มีเลย หรือถ้ามีก็น้อยมากไม่เกิน 0.005 มิลลิกรัมต่อลิตร 1.3 บ่อและระบบบ่อ1.3.1 แบ่งตามประเภทการใช้งาน บ่อที่ใช้ในระบบการผลิตปลาสวยงามควรประกอบด้วยบ่อ 8 ประเภท ดังนี้ 1.3.1.1 บ่อพักน้ำ ใช้สำหรับเก็บกักน้ำเพื่อปรับสภาพน้ำให้มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีปริมาณพอเพียง อาจเป็นบ่อซีเมนต์ ถังไฟเบอร์กลาสหรือถังโลหะกันสนิมอื่นๆ ขนาดของบ่อพักน้ำที่เหมาะสมควรบรรจุน้ำได้ประมาณ 1/3 ของปริมาตรน้ำที่ใช้ในระบบการผลิต ส่วนรูปทรงและตำแหน่งที่ตั้งขึ้นกับพื้นที่ใช้สอย ถ้าสามารถสร้างแยกกันเป็นหลายๆบ่อ ก็จะเป็นการดีเพื่อความสะดวกในการหมุนเวียนใช้งานและการทำความสะอาด 1.3.1.2 บ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ ใช้สำหรับเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ให้เจริญเติบโตถึงวัยเจริญพันธุ์และมีความสมบูรณ์ทางเพศเต็มที่ ขนาดพื้นที่และความลึกของบ่อต้องสอดคล้องกับชนิดและอุปนิสัยของปลา อาจเป็นบ่อซีเมนต์ บ่อดิน ถังไฟเบอร์กลาสหรือตู้กระจกก็ได้ ในการก่อสร้างหรือติดตั้งบ่อประเภทนี้ควรคำนึงถึงสถานที่ตั้งและระบบการถ่ายเทน้ำเป็นสำคัญเพราะการดำเนินการระหว่างการเลี้ยงถ้าคุณสมบัติของน้ำไม่ดีหรือทำให้ปลาตื่นตกใจบ่อยๆ จะกระทบกระเทือนต่อการกินอาหารของปลาซึ่งจะส่งผลถึงความสมบูรณ์ทางเพศของปลาด้วย 1.3.1.3 บ่อเพาะฟัก ใช้ในการผสมพันธุ์ปลา ชนิดและขนาดของบ่อขึ้นกับชนิดของปลาซึ่งต้องสอดคล้องกัน 1.3.1.4 บ่ออนุบาลลูกปลา ใช้ในการอนุบาลลูกปลา ชนิดและขนาดของบ่อขึ้นกับชนิดของปลาซึ่งต้องสอดคล้องกัน 1.3.1.5 บ่อเลี้ยง เป็นบ่อใช้สำหรับเลี้ยงปลาที่ผ่านการอนุบาลแล้ว เลี้ยงจนได้ขนาดจำหน่ายอาจเป็นบ่อซีเมนต์หรือบ่อดินก็ได้ ชนิดและขนาดของบ่อขึ้นกับชนิดของปลาซึ่งต้องสอดคล้องกัน 1.3.1.6 บ่อปรับสภาพปลา ควรเป็นบ่อซีเมนต์ ถังไฟเบอร์กลาส หรือตู้กระจก ใช้สำหรับปรับสภาพปลาที่ได้จากการเลี้ยงในบ่อดินเพื่อให้คุ้นเคยกับการอยู่ในที่กักขังก่อนจัดจำหน่าย เป็นปลาที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว มีลักษณะสมบูรณ์ ไม่พิการ ไม่มีบาดแผล และจำแนกขนาดไว้พร้อมตามความต้องการของลูกค้า หากตรวจพบโรคต้องทำการรักษาให้ถูกวิธีก่อนนำออกจำหน่าย 1.3.1.7 บ่อกักกันโรค ควรเป็นบ่อซีเมนต์ ถังไฟเบอร์กลาส หรือตู้กระจก ที่มีขนาดไม่เกิน2 ตารางเมตร โดยจัดไว้บริเวณบ่อกักกันโรค เพื่อป้องกันน้ำกระเด็นออกไปปนเปื้อน มีระบบน้ำดีและน้ำทิ้งแยกออกจากกัน ซึ่งระบบดังกล่าวใช้สำหรับกักกันโรคที่อาจติดมากับปลาใหม่ที่นำเข้ามาในฟาร์ม ภายในเขตกักกันโรคควรมีอุปกรณ์การเลี้ยงปลาครบชุด เช่น ระบบให้อากาศ สายยาง แปรง สวิงต่างๆ ฯลฯ ไม่ใช้ปะปนกับอุปกรณ์ในส่วนอื่นของฟาร์ม ควรมีถาดน้ำยาเคมีไว้จุ่มรองเท้าบูทเวลาเดินผ่านเข้า-ออกเขตกักกันโรค น้ำยาที่ใช้เติมในถาดอาจใช้คลอรีน 50 พีพีเอ็ม หรือไอโอดีน 250 พีพีเอ็ม และหมั่นเปลี่ยนน้ำยาในถาดใหม่ทุกๆ 3 – 4 วัน ควรมีระบบบ่อพักน้ำทิ้งที่ออกมาจากบ่อกักกันโรคเพื่อใช้สารเคมีฆ่าเชื้อโรคก่อนปล่อยน้ำทิ้ง 1.3.1.8 บ่อบำบัดน้ำ เป็นบ่อรับน้ำเสียจากบ่อเลี้ยงต่างๆ อาจเป็นบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ก็ได้ ต้องปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยการตกตะกอน ใช้พืชน้ำ แบคทีเรียหรือสารเคมีเป็นตัวช่วยบำบัดก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะหรือนำกลับไปใช้ใหม่ (ดูวิธีการบำบัดน้ำในภาคผนวก) 1.3.2 แบ่งประเภทตามลักษณะโครงสร้างบ่อ บ่อตามลักษณะโครงสร้างสามารถแบ่งออกได้เป็น บ่อซีเมนต์ บ่อดิน ตู้กระจก อ่างเลี้ยงปลาที่สามารถเลี้ยงปลาได้โดยทำจากวัสดุสังเคราะห์และวัสดุประเภทต่างๆ ซึ่งพอจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.3.2.1 บ่อดิน ควรเป็นบ่อที่สร้างจากดินเหนียวหรือดินเหนียวปนดินร่วน มีการออกแบบของบ่อให้มีความแข็งแรง ไม่พังทลายได้ง่าย ควรจะมีระบบป้องกันศัตรูที่จะเข้ามาทำร้ายปลาสวยงามได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.3.2.2 บ่อปูนซีเมนต์ ควรเป็นบ่อที่มีความแข็งแรง มีทางน้ำเข้า-ออกแยกจากกันเพื่อสะดวกต่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำและสุขอนามัยภายในโรงเรือน มีพื้นผิวที่ขัดมันเพื่อป้องกันการเกิดแผลจากการเสียดสีของตัวปลา1.3.2.3 ภาชนะอื่นๆ วัสดุและสีที่ใช้จะต้องไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ ที่บริเวณรอยต่อของภาชนะจะต้องแน่นสนิท ไม่มีรอยรั่วซึม มีความหนาของวัสดุเหมาะสมกับปริมาตรน้ำที่จะบรรจุ 1. 4 โรงเรือนเพาะเลี้ยงปลาสวยงามโรงเรือนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำในเวลากลางวันจากการได้รับแสงแดดโดยตรง การลดต่ำของอุณหภูมิน้ำเนื่องจากอิทธิพลของอากาศในฤดูหนาว หรือการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติของน้ำเนื่องจากได้รับ น้ำฝนโดยตรง เป็นต้น ทั้งนี้เป็นเพราะปลาสวยงามส่วนใหญ่เป็นปลาที่มีขนาดเล็กและมีความอ่อนแอมากกว่าปลาทั่วไป เนื่องจากปลาบางตัวเป็นสายพันธุ์ยีนด้อยแต่มีความสวยงามและตลาดต้องการ ทำให้มีความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมต่ำ สภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนมีการถ่ายเทของอากาศดี ไม่เป็นที่หมักหมม ไม่ชื้นแฉะ ไม่มีกลิ่นอับ เสาและโครงของโรงเรือนควรทำด้วยวัสดุที่แข็งแรง กันน้ำ กันสนิม ทนทาน และเหมาะสมกับชนิดปลาที่เลี้ยง หลังคาควรมุงด้วยกระเบื้องทึบสลับกับกระเบื้องใสหรือวัสดุอื่นที่แข็งแรงทนทาน และหลังคาควรสูงพอประมาณเพื่อระบายความร้อน 1. 5 เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง ควรมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองหรือระบบอื่นใด เพื่อความปลอดภัยของชีวิตปลาสวยงามเฉพาะกรณีกรณีปลาที่มีความต้องการออกซิเจนสูง 2. การจัดการฟาร์ม 2.1 พ่อแม่พันธุ์ปลา 2.1.1 ควรคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีคุณภาพดี ตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อทำการเพาะพันธุ์และควรตรวจสุขภาพพ่อแม่พันธุ์ก่อนนำมาเพาะพันธุ์ 2.1.2 ควรเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ให้มีความสมบูรณ์ทางเพศเต็มที่ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือขนาดบ่อที่ใช้เลี้ยง อัตราการปล่อย อาหารและการให้อาหาร แสงสว่าง คุณสมบัติของน้ำ การถ่ายเทน้ำ ฯลฯ 2.1.3 ในการเพาะพันธุ์ควรเลือกใช้วิธีเพาะพันธุ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับปลาแต่ละชนิด 2.2 อาหารและการให้อาหาร ควรเลือกประเภทของอาหารให้เหมาะสมกับอุปนิสัยในการกินอาหารของปลาแต่ละชนิด เช่น ให้อาหารมีชีวิตขนาดเล็กแก่ปลาวัยอ่อน ให้อาหารมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตขนาดใหญ่แก่ปลากินเนื้อ และให้อาหารสำเร็จรูปสำหรับปลากินพืช เป็นต้น คุณภาพของอาหารต้องได้มาตรฐานเหมาะสม สอดคล้องกับช่วงอายุและชนิดของปลา ควรให้ตามความต้องการของปลา ถ้าจำเป็นต้องให้อาหารประเภทสัตว์น้ำมีชีวิต เช่น ไรแดง ลูกน้ำ ควรเลือกจากแหล่งผลิตที่ปราศจากเชื้อโรคและควรจะแช่ด่างทับทิมความเข้มข้น 5 มิลลิกรัม/น้ำ 1 ลิตร เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนนำไปเลี้ยงปลา ถุงบรรจุอาหารสำเร็จรูปจะต้องไม่ฉีกขาด เก็บอาหารไว้ในที่แห้งและปลอดภัยจากหนูหรือแมลงอื่นๆ การแบ่งอาหารออกจากถุงมาใช้แต่ละครั้งควรใช้อุปกรณ์ที่แห้งและสะอาด เพื่อมิให้อาหารส่วนที่เหลือชื้นและเกิดรา 2.3 สุขภาพสัตว์น้ำ 2.3.1 การใช้สารเคมี การใช้ยาและสารเคมีในการรักษาโรคควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ ต้องมีการวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคเพื่อการรักษาที่ถูกวิธีและควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อมีการใช้ยาหรือใช้ยาตามที่ระบุไว้ มีการบันทึกการใช้ยาทุกครั้ง เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการติดต่อตามผลการรักษาโรค และให้ความร่วมมือกับหน่วยงานราชการอย่างเคร่งครัดในเรื่องของยาที่ห้ามใช้ 2.3.2 การจำกัดและทำลายปลาที่เป็นโรค หากพบว่าปลาที่เลี้ยงเป็นโรคระบาดร้ายแรงต้องทำลายโดยการเผาหรือฝังแล้วกลบด้วยปูนขาวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ควรทำลายด้วยการฝังหรือเผาในบริเวณที่จัดไว้เฉพาะ ควรให้ห่างจากบริเวณบ่อหรือโรงเรือนอื่นๆ และไม่ใช่ทางผ่านประจำของผู้ปฏิบัติงานในฟาร์ม 2.3.3 เขตกักกันโรค ในกรณีที่เกิดโรคสามัญให้แยกใช้อุปกรณ์ออกจากปลาที่ไม่เป็นโรค ยกเว้นในที่ปลาเป็นโรคเรื้อรังควรจัดให้มีเขตกักกันโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคภายในฟาร์ม มีการแยกบริเวณพื้นที่ในการเลี้ยงปลาเป็นโรคออกจากกันโดยชัดเจน ถ้ามีปลาใหม่ที่เข้ามาในฟาร์มควรแยกเลี้ยงไว้ต่างหากเพื่อทำการตรวจสอบและรักษาโรคที่อาจมีการติดเชื้อมาจากภายนอก และฟาร์มควรมีระบบป้องกันและควบคุมโรคที่อาจจะติดมากับคนโดยอาจมีระบบฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้า-ออกจากฟาร์ม หากตรวจพบเชื้อโรคที่สามารถติดต่อถึงคน เช่น เชื้ออหิวาห์ แซลโมเนลลา หรือคลอโรฟอร์มแบคทีเรียในระหว่างการเลี้ยง กรมประมงจะแจ้งให้เจ้าของฟาร์มทราบโดยด่วนและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยราชการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดเพื่อกำจัดและป้องกันโรคดังกล่าว 2.4 การแยกใช้อุปกรณ์ ควรมีอุปกรณ์ที่แยกใช้ประจำบ่อ ระหว่างปลาเป็นโรคและปลาปกติเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีสถานที่สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์อย่างเป็นสัดส่วนมีป้ายระบุอย่างชัดเจนและควรมีการฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนใช้งาน อุปกรณ์และเครื่องใช้ภายในฟาร์มควรทำความสะอาดก่อนและหลังการใช้ โดยการแช่น้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม เช่น จุ่มในน้ำยาคลอรีน 200 มิลลิกรัม/ลิตร หรือ ไอโอดีน 250 มิลลิกรัม/ลิตร ประมาณ 5 นาที และล้างน้ำให้สะอาดก่อนใช้2.5 คุณภาพน้ำ 2.5.1 การบำบัดน้ำก่อนใช้เลี้ยงปลา ถ้าใช้น้ำประปาหรือน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน ต้องทิ้งไว้จนกว่าคลอรีนจะระเหยหมด ถ้าจำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วนให้ใช้โซเดียมไทโอซัลเฟต (Na2S2O3) 10 กรัม/น้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร หรือใช้กรองด้วยด้วยเครื่องกรองที่มีถ่าน (Activated carbon) เป็นวัสดุกรองเพื่อกำจัดคลอรีน และก่อนใช้ควรมีการวัดปริมาณคลอรีนด้วยว่ายังมีหลงเหลืออยู่หรือไม่ เพราะคลอรีนเป็นพิษต่อปลาสูงมาก 2.5.2 การควบคุมคุณสมบัติน้ำที่ใช้เลี้ยงปลา ควรมีการตรวจสอบควบคุมคุณสมบัติของน้ำที่ใช้ในการเลี้ยงปลาสม่ำเสมอและควรมีการจัดการให้น้ำมีคุณสมบัติเหมาะสม (ตามข้อ 1.2) หากปริมาณออกซิเจนในบ่อเลี้ยงต่ำกว่าระดับมาตรฐาน คือ 3 มิลลิกรัม/ลิตร ต้องใช้เครื่องเพิ่มอากาศ 2.6 การจัดเตรียมปลาเพื่อจำหน่าย 2.6.1 ควรจับปลาโดยวิธีที่ระมัดระวัง และต้องมั่นใจว่าจะไม่ทำให้ปลาเกิดบาดแผลหรือครีบฉีกขาด เช่น การลดระดับให้ต่ำลงเพื่อสะดวกในการจับ การใช้สวิงหรืออวนที่มีเส้นด้ายละเอียดและอ่อนนุ่มไม่กระทบกระเทือนต่อผิวหนังปลา ไม่เคลื่อนย้ายปลาโดยไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นต้น 2.6.2 ถ้าเป็นปลาที่เลี้ยงในบ่อดินควรจับปลามาพักไว้ในบ่อซีเมนต์ หรือถังไฟเบอร์หรือตู้กระจกเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ปลาปรับสภาพ สามารถอยู่ในที่แคบๆได้ 2.6.3 ทำการคัดเลือกปลาที่มีคุณภาพดีและคัดแยกขนาดตามที่ลูกค้าต้องการและก่อนจับปลาจำหน่ายงดให้อาหารปลาประมาณ 1-2 วัน 2.6.4 ปลาจะต้องได้รับการแช่สารเคมี เช่น ฟอร์มาลีน 25 – 45 มิลลิกกรัม/ลิตร ก่อนจำหน่ายอย่างน้อย 7 – 10 วัน เพื่อกำจัดปรสิตต่างๆตามผิวหนังและเหงือก 2.7 การบรรจุและลำเลียงขนส่งปลา การบรรจุและลำเลียงขนส่งปลา ควรบรรจุในภาชนะที่ใหม่และเหมาะสมต่อการเดินทาง ต้องมั่นใจว่าปลาอยู่ในสภาพสมบูรณ์และสุขภาพดีเมื่อถึงมือลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่นิยมบรรจุในถุงพลาสติกพร้อมกับบรรจุก๊าซออกซิเจนลงไป ปัจจัยที่สำคัญในการลำเลียงปลามีชีวิต คือสภาพอากาศและระยะทางในการเดินทาง ข้อควรคำนึงในการบรรจุและลำเลียงพันธุ์ปลามีชีวิต มีดังนี้ 2.7.1 ต้องบรรจุปลาในถุงให้มีจำนวนที่พอดี มีก๊าซออกซิเจนพอเพียงตลอดระยะเวลาที่ใช้ในการขนส่ง 2.7.2 น้ำที่ใช้ในการบรรจุปลาเพื่อการขนส่งต้องสะอาดและมีคุณภาพเหมาะสมกับชนิดของปลา 2.7.3 ควรมีสิ่งปกคลุมถุงบรรจุปลาเพื่อป้องกันแสงแดดหรือบรรจุถุงปลาในกล่องโฟมเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำ 2.7.4 ปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวควรบรรจุแยกถุงละ 1 ตัว เพื่อป้องกันการทำร้ายซึ่งกันและกันขณะอยู่ในถุง ซึ่งจะทำให้เกิดบาดแผลหรือครีบฉีกขาดได้ 2.7.5 ในการบรรจุปลาลงถุงควรใส่เกลือแกง 0.1-0.2 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดความเป็นพิษของแอมโมเนีย ไนไตรท์ และลดความเครียดของปลาขณะขนส่ง 2.7.6 วัสดุเก่าที่ใช้ในการบรรจุปลาควรกำจัดให้ถูกสุขอนามัย ถ้าจะนำมาใช้ใหม่ต้องฆ่าเชื้อโรคด้วยวิธีที่เหมาะสม ล้างน้ำให้สะอาด และตากให้แห้งก่อนนำมาใช้ 2.8 สุขลักษณะภายในฟาร์ม ในบริเวณฟาร์มควรจัดให้มีท่อระบายน้ำ เพื่อส่งน้ำไปยังบ่อบำบัด ไม่ควรถ่ายน้ำทิ้งลงบนพื้นซึ่งก่อให้เกิดสุขอนามัยที่ไม่ดี และควรทำความสะอาดท่อระบายน้ำสม่ำเสมอ 2.8.1 ห้องน้ำห้องส้วม ห้องน้ำในฟาร์มต้องถูกสุขลักษณะและอยู่แยกเป็นสัดส่วนจากบ่อ โรงเรือนเลี้ยงปลา ห้องเก็บอาหารและสารเคมี อย่างชัดเจน 2.8.2 ความสะอาดภายในโรงเรือน การเก็บและทำลายขยะเศษของเหลือของฟาร์ม มีการจัดเตรียมถังขยะหลายๆจุด และมีฝาปิดมิดชิด หากไม่มีบริการขนขยะไปทิ้งของทางราชการต้องขนไปทิ้งในบริเวณที่ทิ้งของเทศบาล สุขาภิบาลหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือรวบรวมและกำจัดในที่กำจัดขยะที่จัดไว้เป็นสัดส่วนแยกจากบริเวณเลี้ยงสัตว์น้ำ มีการจัดเตรียมเครื่องอำนวยความสะดวกที่ใช้ในการทำความสะอาดและมีการรักษาความสะอาดในฟาร์มและรอบๆ บริเวณฟาร์มสม่ำเสมอ 2.8.3 การบำบัดน้ำก่อนสู่สิ่งแวดล้อม น้ำเสียที่ผ่านการเลี้ยงปลา ควรผ่านการบำบัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำ (ดูวิธีการบำบัดน้ำในภาคผนวก) แล้วนำไปใช้ใหม่โดยใช้ระบบน้ำหมุนเวียน หรือถ้าหากจำเป็นต้องปล่อยน้ำทิ้งก็ควรมีการบำบัดให้ได้มาตรฐานน้ำทิ้ง (ตารางที่ 2) ก่อนปล่อยออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และต้องมีระบบระบายน้ำที่ระบายได้ดี ไม่อุดตัน น้ำไม่ท่วมขัง 2.9 ระบบการบันทึกข้อมูล ควรมีการบันทึกข้อมูลที่สำคัญๆ เพื่อประโยชน์ในด้านการประกอบธุรกิจ ดังนี้ 2.9.1 แหล่งและลักษณะของพ่อแม่พันธุ์ 2.9.2 ระบบการผลิตและผลผลิต 2.9.3 การลงทุนและผลกำไร 2.9.4 คุณภาพน้ำและการใช้น้ำ 2.9.5 อาหารและการให้อาหาร 2.9.6 โรคและการป้องกันรักษา 2.9.7 ประวัติการใช้บ่อ 2.9.8 ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหา ตารางที่ 1 ระดับความเข้มข้นสูงสุดของสารพิษประเภทโลหะหนักและสารพิษประเภทอื่นๆ ที่ยินยอมให้มีอยู่ ในน้ำได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ
โลหะหนัก ระดับความเข้มข้นสูงสุด (มิลลิกรัม/ลิตร) |
สารพิษ ระดับความเข้มข้นสูงสุด (มิลลิกรัม/ลิตร) |
คุณภาพน้ำ | ค่ามาตรฐาน |
ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) | 6.5-8.5 |
ค่าความนำไฟฟ้า (EC x 106) | ไม่มากกว่า 2,000 ไมโครโมล/ซม. |
ค่าของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด ( TDS) |
ไม่มีความเห็น