สิทธิออกความเห็นขอประชาชน จนขึ้นศาลกรณีนิคมอุตสาหกรรม
เรื่อง/ภาพ : สานศรัทธา
เรื่องที่เป็นกระแสข้ามปีมาโดยตลอด คือ เรื่อง นายปิติพงษ์ คิดการเหมาะ หรือ พี่ด้วง ถูกนายอำเภอสิชลขณะนั้นกล่าวหาและฟ้องร้องจนขึ้นศาล ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งต่างคนก็อ้างว่า เพราะบทบาทและหน้าที่ สืบเนื่องจากวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๕๒ ที่ปรึกษามาแทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ มาเยี่ยมพื้นที่บ้านหัวแรต ต.เสาเภา ที่ปากทางเข้า ประชาชนประมาณ ๓๐๐ คน ไปดักรอเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างที่รอมีการปราศรัยให้ข้อมูลแก่ชาวบ้านที่ร่วมชุมนุมและผ่านไปมา นายปิติพงษ์ คิดการเหมาะ ซึ่งได้ขึ้นเวทีด้วยเป็นคนที่สอง ตั้งแต่สิบโมงกว่าๆ หลังจากนั้นก็มีคนทยอยขึ้นปราศรัย ทั้งสิ้น ๒๗ คน คณะที่ปรึกษาและนายอำเภอหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จที่ร้านขาหมูโกโต้นสิชล ก็เดินทางมารับหนังสือด้วยความเรียบร้อย แล้วเข้าไปเยี่ยมกองทุนการเงินของบ้านหัวแรต
หลังจากวันที่ ๒๕ มีข่าวนายอำเภอสิชลมาโดยตลอดว่า เตรียมยื่นฟ้อง ๒๗ แกนนำ สุดท้ายก็ยื่นฟ้อง เพียงคนเดียว จนชาวบ้านชุมนุมกันอีกครั้งหน้าโรงพักสิชลในวันที่ ๓๐ มีนาคม ๕๒ เพื่อไปรับทราบข้อกล่าวหา คดีนี้อัยการเลื่อนนัดหลายครั้ง ที่สุดก็ส่งฟ้องศาล โดยจะขึ้นศาลนัดแรกในวันที่ ๒๕ มกราคม ๕๓ ที่ศาลแขวง ทุ่งท่าลาด โดยมีสภาทนายความรับเป็นทนายให้ชาวบ้าน
กรณีดูหมิ่น ถือว่า เป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาก็เตรียมหลักฐานยืนยันว่า ในขณะนั้น นายอำเภอประชุมอยู่ที่เทศบาลกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่องปัญหาที่ดินตำบลเทพราช ไม่สามารถได้ยินซึ่งหน้าได้ในขณะที่นายปิติพงษ์ ขึ้นปราศรัย เรื่องนี้ก็ต้องไปว่าที่ชั้นศาล ถือเป็นคำตอบสุดท้าย
ประเด็น คือว่า การชุมนุมและเรียกร้องโดยสันติซึ่งเกิดขึ้นทั่วไปในประเทศไทย มักจะกล่าวหาและพาดพิงเสมอๆ แต่จะฟ้องหรือไม่ขึ้นอยู่ที่เจตนา เพราะเป็นคดีเล็กๆ ไม่อย่างนั้นการชุมนุมและปราศรัยแต่ละครั้งในประเทศนี้ คงฟ้องได้ครั้งละนับร้อยๆคดีแน่นอน
ไม่มีความเห็น