๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓
........
ที่รัก...
เมื่อคืน..ฉันได้หลับใหลไปตั้งแต่ยังไม่ถึงสามทุ่มดีนัก อาการปวดหัวกระหน่ำเข้ามาแทบจะระเบิด ฉันได้แต่นอนนิ่งๆ ปล่อยร่างกายให้ดิ่งลงไปตามจังหวะของการเคลื่อนไหวตามลมหายใจที่ลึก...ยาว และผ่อนคลายสบาย...
ฉันก็ยังคงยืนยันเช่นเดิมที่จะไม่ทานยา เมื่อวานได้คุยกับพี่ปี บอกพี่ปีว่า... ไม่มีอาการเช่นนี้มาสามปีกว่าแล้วแต่...อาจสืบเนื่องว่า เมื่อสองสามวันได้รับสัมผัสความทุกข์ของผู้คนหลายๆ คนที่หนักหนาเอาการเสมือนกับว่าเขาต่างถล่มความทุกข์ที่บีบคั้นและอัดแน่นระเบิดใส่ตัวเรา ... อย่างที่เขาเหล่านั้นจะทนไม่ไหวแล้ว กรอปกับฉันมีภาระงานที่ต้องร่วมทำหลายงานติดต่อกันเข้ามา...แต่ก็ดีใจและยินดีนะ ที่เวลาที่ใครก็ตามที่เขามีทุกข์แล้วเขานึกถึงเรา ... มันคือคุณค่าที่พวกเขาเหล่านั้นมอบให้แก่เรา
แต่เมื่อคืน...ฉันเลือก reset ตัวเอง เริ่มต้นด้วยการทำดีท๊อก อดอาหาร และนอนผ่อนคลายด้วยท่าศพ... ดูเวทนาที่ปรากฏไปด้วย พอตื่นมาเช้านี้รู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ เมื่อเช้านี้ฉันก็ทำดีท๊อกซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับนั่งลงทานข้าวกับปลานึ่งที่แม่ตั้งใจทำให้ทาน
เมื่อคืนนี้ ฉันได้คิดอย่างหนึ่งนะที่รัก ... การที่ฉันปลดปล่อยที่รักออกจากความรู้สึกที่อยากครอบครองนั้นทำให้ใจนี้เบาสบายขึ้น ที่รัก...ก็ต้องมีวิถีชีวิตที่ก้าวย่างเดินไปเช่นเดียวกัน หน้าที่ของฉัน คือ การยืนเฝ้ามองดูอยู่เบื้องหลัง พร้อมสอดส่องการเดินทางของที่รักปลอดภัยดีเช่นไรบ้าง ... มีอะไรที่ฉันทำให้ที่รักบรรเทาทุกข์ได้ เมื่อนั้นฉันจะก้าวเข้าไป
ฉันนั้นเกือบก้าวพลาดไปอีกแล้ว ...
เพราะอะไรล่ะ... เพราะอยากจะไปได้ความรักอย่างที่ผู้คนทั่วไป ดำรงถือกันอยู่จึงเห็นได้ว่าความสงบอย่างแท้จริงที่ "ใจ" จึงไม่ได้ปรากฏขึ้นเลยในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น
อะไรที่เป็นความสุข...ของ ที่รัก...ขอให้ทำไปเถอะ แต่ขอให้เป็นความสุขที่แท้นะ ไม่ใช่ความสุขที่ที่รักเลือกมาประโลมใจตนเองเท่านั้น
การยอมรับต่อความเป็นจริง อันเป็นการยอมรับด้วยใจที่นอบน้อม ทำให้ "ใจ" นี้ของฉันเบาเบาขึ้น เกิดเป็นสภาวะที่ฉันนั้นมักเรียกว่า "ใจเบาเบา"... ได้คืนกลับมาที่ใจของฉันอีกครั้งด้วยความฉ่ำเย็น...
ค่ำคืนแห่งความหนักหน่วงที่ฉันได้เผชิญจากเวทนากายที่ปรากฏ...ก็ได้ผ่านไปแล้ว
นี่แหละ คือ ความมหัศจรรย์ของการย่างก้าวที่เปี่ยมด้วยสติ ... เพราะหากเรามีสติและภาวนาอยู่กับลมหายใจ การถูกคุกคามด้วยสภาวะใดใด ที่เราน้อมใจยอมรับ แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
ขอบคุณที่รัก ที่มาให้ได้เจอ และเป็นกำลังใจให้เสมอ
คราใดที่นึกถึงมีแต่ความอบอุ่นในความดีงามของ "ที่รัก"...
๐๙.๐๗ น.
...
"การยอมรับ" นั้นดูเหมือนมีปรากฏ แต่เจ้าตัวที่เรียกว่า "ยึดในตัวตน" นั้นก็ยังคงมี
การที่คอยแต่จะมุ่งเอาแต่ใจตัวเองนั้น มันคอยจะแหลมๆ หน้าออกมา ว่า "ฉัน"นั้น คือคนสำคัญของคุณนะ ออกมาบ่อยมาก แต่การที่นำตัวเองกลับมาที่ลมหายใจนี่ก็พอทำให้เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง แต่บางครั้ง...ก็อาจจะโผล่ออกที่อาการ "ฉันไม่แคร์"...
สภาวะจิตนี่...ช่างเป็นเรื่องที่ละเอียดเหลือเกินนะ
ไม่มีสติไม่ตั้งมั่นให้อยู่กับความรู้ตัวแล้วล่ะก็...
"ใจ" ของฉันนั้นมันจะคอยเคลื่อนผ่านไปมาเช่นนี้อยู่เรื่อย...
"ความรักที่แท้" น่ะใครว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ... ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก นั่นน่ะต้องอาศัย "ใจ"ที่ตั้งมั่นที่จะนำพาไปสู่การขัดเกลาจิตใจ อันเป็นใจที่ไร้ซึ่งความคาดหวังและการครอบครอง หากแต่เป็นใจที่ได้รัก ปรารถนาดี และมีความบริสุทธิ์อันเต็มเปี่ยม
เมื่อสักครู่...ใจ
ก็เคลื่อนไปอีกล่ะ เคลื่อนไปตามมโนภาพอันเป็นลบ
ลบ...ที่มีเจ้าตัวกู นี่แหละเป็นตัวผลักดัน ทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร
ความเคลื่อนหากเรารู้เท่าและทัน เราก็จะโน้มนำกลับมาสู่จุดที่ยืนตั้งมั่นได้
ที่รัก...
ฉันนั้นมุ่งมั่น และปรารถนาอย่างยิ่งที่จะฝึกฝนตนเอง ให้จิตใจนี้...เบาเบาไร้การยึดและการผลัก หากแต่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ที่อยากจะมอบให้กับที่รัก...อันเป็นการมอบให้ด้วย "เนื้อของใจ" อย่างแท้จริง
๑๐.๔๙ น.
ขอบพระคุณค่ะสำหรับบันทึกเตือนใจ
ขอให้พี่ปุ๋ม สุขภาพแข็งแรง เป็นห่วงนะคะ
(^_^)
ตอนอ่านเห็นใจตนเองไหลเคลิ้มเข้าไปรู้สึกเป็นห่วง จึงกลับมาที่ลมหายใจ แล้วมีเสียงว่าเคารพและเชื่อมั่นในพี่ปุ๋ม
แล้วใจก็สบายขึ้น แว๊บคิดถึง เหตุการณ์ที่ผ่านมา กลับมาที่ลมหายใจอีก ใจมันไปเร็วจังเลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้เศร้าหมอง ขอบพระคุณนะคะ