ม.ขอนแก่นแนะโรงงานนม แก้ 5
ข้อจำกัดโลจิสติกส์ขาเข้า (1)
|
ปัจจุบันอุตสาหกรรมนมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบันมีปริมาณน้ำนมดิบจากการเลี้ยงโคนมทั่วประเทศประมาณ 2,260
ตันต่อวัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยมีศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบกว่า 180 ศูนย์
แบ่งเป็นศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบสหกรณ์ 117 ศูนย์
และศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบของเอกชนประมาณ 63 ศูนย์
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมนมถือเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง
เนื่องจากการมีผู้ผลิตจำนวนมากในตลาด
และผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายในการเลือกซื้อสินค้าเพื่อให้ได้คุณภาพ
ราคา
และการบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างทันท่วงที
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ทำให้การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้มี
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการหาวัตถุดิบจนถึงตลาดที่ต้องตอบสนองให้ได้ตามความต้องการของผู้บริโภค
ดังนั้น รศ.ดร.กาญจนา เศรษฐนันท์ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ได้เล็งเห็นความสำคัญของเรื่องดังกล่าวจึงได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ
"การบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ขาเข้าของอุตสาหกรรมนม"
โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
โดยมีองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)
จังหวัดขอนแก่นเป็นกรณีศึกษา เพราะเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือ แนะนำ
และให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมโดยตรง
5 ข้อจำกัดขนนมดิบจากฟาร์มสู่โรงงาน
รศ.ดร.กาญจนาบอกว่า น้ำนมดิบ (raw milk)
ถือเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่บูดเสียได้ง่าย หากมีการจัดการไม่ เหมาะสม
ประกอบกับน้ำนมที่ได้รับจากเกษตรกรแต่ละฟาร์มอาจมีปริมาณไม่แน่นอนและไม่สม่ำเสมอในแต่ละวัน
เป็นผลให้การขนส่งน้ำนมดิบเข้าสู่โรงงานผลิตอาจมีปริมาณไม่ตรงตามความต้องการ
การผลิตนมของ อ.ส.ค.นั้นเริ่มต้นจากการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโคนม
และส่งน้ำนมดิบให้แก่ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบซึ่งกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ
จากนั้น
อ.ส.ค.จะส่งรถบรรทุกไปรับน้ำนมดิบที่ศูนย์รวบรวมน้ำนมเหล่านั้น
และส่งเข้าสู่โรงงานเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นม
|
แต่ทั้งนี้ขั้นตอนการผลิตของอุตสาห กรรมนมมีข้อจำกัดต่าง ๆ หลายด้าน
ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นม
ประการแรก เรื่องปริมาณน้ำนมดิบ
ไม่สม่ำเสมอจะขึ้นอยู่กับจำนวนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จำนวนโคนม
และอัตราการให้นมเฉลี่ยต่อตัว
ประการที่ 2 รถที่เกษตรกรใช้ขนส่งน้ำนมดิบมายังศูนย์
ซึ่งอยู่กระจัดกระจายในรัศมี 400 เมตร-50 กิโลเมตร
ส่วนใหญ่ใช้รถบรรทุก 6 ล้อ
รถกระบะซึ่งอาจจะเป็นรถจ้างเหมาหรือรถของเกษตรกรเอง
หากเกษตรกรรายใดอยู่ใกล้กับศูนย์รับน้ำนมดิบและมีปริมาณนมไม่มากนักจะใช้รถจักรยานยนต์หรือรถเข็น
ประการที่ 3 ในการรับน้ำนมดิบจากเกษตรกร
ทางศูนย์ต้องเปิดอุปกรณ์ควบคุมให้ได้ 4 องศาเซลเซียสก่อนขนส่งไปโรงงาน
เพื่อป้องกันการบูดเสีย จำเป็นต้องมีระบบการจัดการที่เหมาะสม เช่น
การจัดคิวให้เกษตรกรมาส่งน้ำนมดิบเพื่อให้ปริมาณของน้ำนมดิบมีความสม่ำเสมอ
ใช้เวลาในการ unload/load
น้ำนมดิบให้สั้นที่สุดเพื่อลดระยะเวลาการทำงานของอุปกรณ์ทำความเย็นที่มีผลต่อค่าใช้จ่ายด้านพลังงานโดยตรง
ประการที่ 4 เรื่องคุณภาพในการขนส่งน้ำนมดิบ
เนื่องจากนมเป็นสินค้าเกษตรที่เน่าเสียง่าย
รถที่ใช้ขนน้ำนมดิบส่วนใหญ่จะทำเป็นช่องบรรจุ 3 ช่องให้อิสระต่อกัน
แต่ละช่องไม่ควรมีการผสมกันของน้ำนมดิบต่างศูนย์และต่างมื้อ
และน้ำนมดิบที่รวบรวมได้จำเป็นต้องมีการรักษาอุณหภูมิ
ตั้งแต่อยู่ในถังบรรจุน้ำนมดิบของรถบรรทุกที่ไปรับจากแต่ละศูนย์
ไปจนถึงกระบวนการผลิต
ดังนั้นช่องบรรจุนมของรถบรรทุกแต่ละคันจะเป็นเหล็กกล้าไร้สนิม
ที่สามารถเก็บน้ำนมดิบได้ 24 ชั่วโมง โดยไม่บูดเน่า
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากน้ำนมดิบจากบางศูนย์มีปริมาณไม่มากนัก
จึงจำเป็นที่ต้องมีการจัดระบบการขนส่งของรถบรรทุกนมไปยังโรงงานผลิตให้มีประสิทธิภาพรวดเร็ว
และสามารถบรรทุกนมได้จำนวนมากเต็มปริมาตรการบรรจุของรถบรรทุกเพื่อให้ต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยมีค่าต่ำที่สุด
ประการที่ 5
เมื่อรถบรรทุกมาถึงโรงงานกระบวนการแรกของการผลิตนมคือการตรวจคุณภาพของน้ำนมดิบ
ถ้าน้ำนมดิบได้คุณภาพตามที่ต้องการจะนำน้ำนมดิบจากรถบรรทุกเข้าสู่ถังพักนมโดยระบบท่อส่ง
จากนั้นน้ำนมดิบจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตทันที
ข้อจำกัดของการผลิตนมจากกระบวน การนำน้ำนมดิบสู่ถังพักนมของโรงงาน คือ
น้ำนมดิบจากรถบรรทุกที่รออยู่หรือมาถึงโรงงานใกล้เคียงกันจะถูกนำเข้าสู่ถังพักนม
หลังจากที่น้ำนมดิบจากถังพักนมถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตแล้ว
โรงงานจะต้องทำความสะอาดถังพักนมทันทีเพื่อป้องกันการบูดเสียของนมในลอต
(lots)
จากข้อจำกัดดังกล่าวทำให้โรงงานผลิตนมของ อ.ส.ค. จังหวัดขอนแก่น
มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
หากปริมาณน้ำนมดิบในถังบรรจุของรถบรรทุกมีน้อยเพราะทำให้มีจำนวนครั้งในการขนส่งมากขึ้น
นอกจากนี้เรื่องค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดถังพักนม คือ ค่าไฟฟ้า
ค่าน้ำ ค่าสารเคมี และค่าแรงงาน ค่อนข้างสูง
ปัจจุบันการขนส่งน้ำนมดิบของรถบรรทุกนมส่วนใหญ่จะบรรทุกนมได้ไม่เต็มคันรถ
ประกอบกับการที่รถบรรทุกมาถึงโรงงานไม่เป็นเวลาและมาไม่พร้อมกัน
ทำให้ไม่สามารถบรรจุนมได้เต็มปริมาณของถังพักนม
และทำให้ต้องใช้ถังพักนมที่บรรจุนมก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตจำนวนหลายถังต่อวัน
เป็นผลให้โรงงานต้องทำความสะอาดถังวันละหลายครั้งก่อนที่จะบรรจุนมเข้าไปใหม่
ไม่เช่นนั้นจะทำให้น้ำนมที่มาใหม่บูดได้เนื่องจากมีคราบ
น้ำนมเก่าติดอยู่ที่ถัง
แนะเกษตรกรรวมกลุ่มลดต้นทุน
ในการศึกษาระบบโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมนม
จึงได้เน้นศึกษาเฉพาะกระบวนการต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นจากศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบถึงโรงงาน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตารางการขนส่งน้ำนมดิบเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการล้างถังพักนมที่โรงงานและค่าขนส่ง
โดยการให้รถบรรทุกขนส่งน้ำนมดิบมาถึงโรงงานแบบเป็นเวลาและมาพร้อมกันหลาย
ๆ คันในระยะเวลาที่สั้น
ทำให้น้ำนมดิบถูกส่งลงสู่ถังพักนมของโรงงานพร้อมเพรียงกัน
เพื่อลดจำนวนการใช้ถังพักนมและค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดถังพักนมให้น้อยลง
โดยกระบวนการผลิตนมต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
จากการศึกษาพบว่า กลยุทธ์ในการพัฒนาระบบบริหารจัดการเชิงโลจิสติกส์
ขาเข้า (inbound logistics) ของอุตสาหกรรมนมแยกตามชนิดของตัว
ขับเคลื่อน (driver) ได้แก่ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านการขนส่ง
ด้านการจัดการสินค้าคงคลัง และด้านการจัดการข้อมูลและติดต่อสื่อสาร
สรุปได้ว่า
1.ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ในการดำเนินการแปรรูปนมพาสเจอไรซ์นั้น
ได้แก่ รถบรรทุก ถังรับน้ำนมดิบ และห้องรับนม เป็นต้น
ทั้งในศูนย์และโรงงานจำเป็นต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีความเพียงพอกับการดำเนินการ
เช่น ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ
หากมีห้องรับน้ำนมดิบไม่เพียงพอจะทำให้เวลาที่ใช้ในการรับน้ำนมดิบจากเกษตรกรเป็นไปด้วยความล่าช้า
และส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงมากขึ้น
ที่สำคัญคืออาจมีผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำนมดิบได้
สำหรับรถที่ใช้ในการบรรทุกน้ำนมดิบนั้นจะต้องมีระบบการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อจะทำให้รถบรรทุกมีสภาพที่เหมาะสมในการใช้งาน
หากรถบรรทุกคันใดต้องรับน้ำนมดิบจากศูนย์มากกว่า 1 แห่ง
แล้วรถบรรทุกคันนั้นควรไปรับน้ำนมดิบจากศูนย์ที่ห่างไกลก่อน
เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
2.ด้านการขนส่ง สามารถแบ่งการขนส่งนมในช่วงโลจิสติกส์ขาเข้าเป็น 2
ระยะ คือ ระยะแรก
เป็นการขนส่งนมของเกษตรกรจากฟาร์มมายังศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ
และการขนส่งนมจากศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบมายังโรงงาน
การขนส่งระยะแรกเกษตรกรจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
ส่วนการขนส่งใน ระยะที่ 2
โรงงานจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
การขนส่งในระยะที่ 1
การขนส่งนมของเกษตรกรจากฟาร์มมายังศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ
เกษตรกรส่วนใหญ่จะส่งน้ำนมดิบมายังโรงงานเอง ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80)
เป็นเกษตรกรรายย่อยที่มีปริมาณน้ำนมดิบน้อยกว่า 200
กิโลกรัม/วัน
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
(economy of scale and economy of distance)
เกษตรกรควรมีการรวมกลุ่มในการขนส่ง
โดยอาจจะให้เกษตรกรรายใหญ่ที่มีศักยภาพหรือมีความพร้อมเกี่ยวกับรถบรรทุกในการขนส่งเป็นผู้จัดการรวบรวมปริมาณน้ำนมของเกษตรกรรายย่อยที่อยู่ในเส้นทางหรือบริเวณใกล้เคียง
ที่มา
อยากทราบว่าทางโรงงาน เค้ามีวิธีบำรุงรักษานมยังไงเมื่อไม่มียอดสั่งซื้ออะครับ พอดีสนใจกำลังหาความรู้อยู่