โดย : ศรีศักร
วัลลิโภดม
คำว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในความคิดของข้าพเจ้า
คือประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต (living history)
และเป็นประวัติศาสตร์สังคม (social history)
ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนในสังคมกับแผ่นดินเกิด (มาตุภูมิ)
ที่ดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่จบไปเป็นยุคๆ แต่อย่างใด
คนในสังคมท้องถิ่นนั่นแหละคือผู้ที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของตนเองขึ้น
หาใช่นักประวัติศาสตร์หรือนักวิชาการจากภายนอกเป็นผู้สร้างให้ในรูปแบบของ
ประวัติศาสตร์นิพนธ์อย่างที่เรียนกัน
และเขียนกันตามมหาวิทยาลัยแต่อย่างใดไม่
ความต่างกันระหว่างสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์นิพนธ์ของคนนอกกับคนในก็คือ
ของคนนอกเน้นการเสนอความเป็นจริงที่พิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
แต่คนในกลับเน้นที่เรื่องของความเชื่อว่าสิ่งที่สร้างขึ้นนั้นเป็นเรื่อง
จริง
ประวัติศาสตร์นิพนธ์ของคนในก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่าตำนานในภาษาไทย
และมีธ (myth) ในภาษาอังกฤษนั่นเอง
เป็นเรื่องสมมุติที่เป็นมิติของความเป็นจริงอย่างหนึ่งในความเป็นมนุษยชาติ
เพราะมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาที่มีในพื้นพิภพตั้งแต่มีวิวัฒนาการของความเป็นคน
(homo sapiens) ขึ้นมา
ก็มีความเชื่อและสร้างสิ่งที่เป็นตำนานขึ้นเพื่ออธิบายชีวิตความเป็นอยู่
ร่วมกันของคนในสังคม
ที่เกิดและมีรกรากอยู่ในถิ่นเดียวกันหรือแผ่นดินเดียวกัน
มีสำนึกและความรักในแผ่นดินเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน
แม้ว่าแต่ละคนแต่ละกลุ่มจะมีความเป็นชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน
การที่อยู่ร่วมกันในถิ่นเดียวกันจนเกิดสำนึกร่วมเป็นพวกเดียวกันดังกล่าวนี้
คือที่มาของคำว่าชาติ เพราะแปลว่าเกิดในถิ่นเดียวกัน
เป็นสำนึกที่เกี่ยวกับพื้นที่ (sense of territory) มีเกิดมาพร้อมๆ
กับความเป็นมนุษย์
ตำนานที่ทำให้เกิดสำนึกร่วมของความเป็นชาติเดียวกันมีอยู่ ๒ ระดับ
คือระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ ระดับท้องถิ่น
เป็นตำนานที่เกี่ยวกับการสร้างบ้านแปงเมือง
ที่แสดงออกจากการเป็นคนบ้านไหน เมืองไหนเดียวกัน
ระดับประเทศ
คือความเป็นคนที่เกิดในประเทศเดียวกัน เป็นคนชาติเดียวกัน
จึงเป็นที่มาของความรักชาติ รักบ้านเกิดเมืองนอน
ตำนานในระดับชาตินั้นมักปรากฏในรูปแบบการรวบรวมปะติดปะต่อตำนานของบ้านและ
เมืองตามท้องถิ่น
ให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตในเชิงบูรณาการทางวัฒนธรรมให้เกิดเป็นคนในชาติเดียว
กันเป็นสำคัญ ได้แก่ ตำนาน พงศาวดารที่เกี่ยวกับรัฐ ชนชั้นปกครอง
และตำนานศาสนสถาน ตลอดจนสถานที่ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
สังคม และวัฒนธรรม เช่น ตำนานพระมหาธาตุเจดีย์ ตำนานเมือง ตำนานนคร
เป็นต้น
ความต่างกันของตำนานสองระดับนี้ก็คือ
ตำนานท้องถิ่นซึ่งอยู่ในระดับล่างนั้น
เป็นเรื่องราวในพื้นที่อันเป็นบ้านและเมืองในถิ่นใดถิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ
หาได้ใหญ่โตและซับซ้อนเหมือนตำนานพงศาวดารในระดับรัฐและประเทศไม่
เป็นตำนานของคนที่อยู่ในกระบวนการสร้างบ้านแปงเมือง
ที่เนื้อหาสาระไม่หยุดนิ่งตายตัว
หากมีการเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงโดยคนในท้องถิ่นอย่างสืบเนื่อง (มีชีวิต)
เพื่อสร้างสำนึกร่วมของความเป็นคนในแผ่นดินเกิดเดียวกัน
สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมของการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
ก็คือ บรรดาชื่อบ้านนามเมืองและชื่อของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
สถานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น
ที่มีทั้งเพิ่มเติมขึ้นมาและเปลี่ยนแปลงหายไป
อย่างเช่นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโดยทางราชการ
คนที่มาจากภายนอกและคนรุ่นใหม่ในสังคม
ดังเช่นเปลี่ยนให้เป็นชื่อทางภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
แต่ทว่าเนื้อหาที่เป็นแก่นของตำนานยังคงสืบทอดอยู่
และพร้อมที่จะถูกรื้อฟื้นมาให้ความสำคัญใหม่อยู่เรื่อยๆ
โดยเฉพาะในเรื่องการถูกนำมาสร้างให้เป็นสัญลักษณ์เพื่อการสร้างสำนึกร่วมและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนและสังคมท้องถิ่น
ตำนานหลายตำนานที่มีมาแล้วในอดีตและสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้
มีลักษณะเป็นตำนานในระดับชาติและท้องถิ่นในเวลาเดียวกัน เช่น
ตำนานสิงหนวัติที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์ของชาติ
แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมา
ดังเห็นได้จากมีการยอมรับว่าเป็นเรื่องที่กล่าวถึงการเคลื่อนย้ายของชนชาติ
ไทยจากตอนใต้ของประเทศจีนเข้ามาในภาคเหนือของประเทศไทย
เกิดการตั้งอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ขึ้นในแอ่งเชียงราย
ผู้นำทางวัฒนธรรมในการสร้างบ้านแปงเมืองคือเจ้าสิงหนวัติกุมาร
ที่มีเชื้อสายสืบเนื่องมาถึงพระเจ้าพรหมมหาราช
ที่ลูกหลานต่อมาเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์เชียงราย คือพระเจ้าอู่ทอง
หรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
ผู้สร้างและสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของสยามประเทศ
เรื่องราวของตำนานสิงหนวัติในระดับชาตินี้ก็เหมือนตำนานระดับชาติอื่นๆ
ที่มีลักษณะหยุดนิ่ง
และถูกรวบรวมไว้เป็นพงศาวดารระดับชาติในรูปของประชุมพงศาวดาร
ที่มีการจัดพิมพ์และจัดเก็บโดยทางรัฐและสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งใช้เป็นข้อถกเถียงในการเขียนประวัติศาสตร์แบบหาข้อยุติในบรรดานัก
ประวัติศาสตร์ทั้งใหม่และเก่าอยู่เนืองๆ
แต่การต่อเนื่องของตำนานสิงหนวัติในระดับท้องถิ่นกลับเป็นเรื่องตรงข้าม
ไม่หยุดนิ่งเป็นแบบนิทานเก่าๆ (folk) หากมีการเคลื่อนไหว (dynamic)
ในบริบททางสังคมท้องถิ่นตลอดเวลา
เป็นที่ประจักษ์แก่ข้าพเจ้าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้
นั่นคือเมื่อปลายเดือนกันยายน ๒๕๕๒
ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคุณเล็ก นครเชียงราย
ผู้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์นครเชียงราย ให้ไปร่วมเสวนาเรื่อง
“เล่าเรื่องเมืองแม่สาย ตำนานเวียงพางคำ ตามรอยพระเจ้าพรหมมหาราช”
ให้คนแม่สายฟังที่ลานคนเมืองแม่สาย ในบริเวณหน้าที่ทำการอำเภอแม่สาย
การเสวนาครั้งนี้เป็นการจัดการร่วมกันของนายอำเภอแม่สาย
ประธานสภาวัฒนธรรม นายกเทศมนตรี
และผู้รู้ผู้อาวุโสที่เป็นคนแม่สายอย่างสมานฉันท์
ที่ทำการอำเภอแม่สายอยู่ในพื้นที่ของเวียงโบราณที่ชาวบ้านชาวเมืองเรียกว่า
“เวียงพางคำ”
อันเป็นเมืองที่มีกล่าวถึงในตำนานสิงหนวัติว่าเป็นเมืองที่กษัตริย์ในตระกูล
สิงหนวัติทรงปกครองต่อมาจนถึงพระเจ้าพรหมมหาราช
โดยย่อก็คือเชื่อว่าเป็นเมืองของพระมหากษัตริย์ไทยที่ในประวัติศาสตร์ชาติ
ไทยรุ่นเก่ายกย่องว่าทรงเป็นมหาราชพระองค์หนึ่ง
จึงเป็นเหตุให้คนท้องถิ่นแม่สายมีความภูมิใจทั้งเวียงและกษัตริย์
มีการสร้างพระบรมรูปของพระเจ้าพรหมมหาราชไว้หน้าที่ทำการอำเภอ
และเป็นอนุสาวรีย์ประธานของลานหน้าอำเภอที่ข้าพเจ้าใคร่ขนานนามว่าเป็นลานคน
เมือง ให้ดูคล้ายกันกับลานเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์และหน้าวัดสุทัศน์
อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศรีศากยมุนี รวมทั้งหน้าศาลาว่าการ กทม.
ในกรุงเทพมหานคร
เหตุที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ก็เพราะว่า
ในปัจจุบัน เมืองแม่สายหรืออำเภอแม่สายเป็นเมืองชายแดนติดประเทศพม่า
ที่มีการขยายตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง
พื้นที่โดยรอบของเวียงพางคำที่อยู่ถัดจากที่ทำการอำเภอไปจนจดลำน้ำสายอัน
เป็นจุดผ่านแดนได้กลายเป็นย่านตลาดและแหล่งที่อยู่อาศัย
สถานที่ประกอบการทางเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆ ทั้งสิ้น
รวมทั้งมีประชากรหลายชาติพันธุ์เคลื่อนย้ายเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานกัน
ตลอดเวลา
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่สะสมของบรรดาผู้คนจากทุกสารทิศอยู่กันแบบ
มั่วๆ ไม่มีหัวนอนปลายตีนแบบตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วไปในขณะนี้
เป็นพื้นที่ไร้สังคมและไร้วัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยการค้ายาเสพติด
ของเถื่อน และการกระทำที่เป็นอาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม
การเคลื่อนย้ายของชนหลายชาติพันธุ์มายังท้องถิ่นแม่สายในทุกวันนี้ได้สะท้อน
ให้เห็นว่า
ในอดีตก็มีการเคลื่อนย้ายเช่นนี้มาแล้วในอาณาบริเวณใกล้เคียงในแอ่งเชียงราย
ทั้งหมดก็ว่าได้ ดังเห็นได้จากงานรวบรวมและค้นคว้าของคุณบุญช่วย
ศรีสวัสดิ์ เรื่อง ๓๐ ชาติในเชียงราย
ที่ข้าพเจ้าใคร่ยกย่องว่าเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์สังคมที่ดี
ที่สามารถนำมาสานต่อกับเรื่องราวของการเคลื่อนย้ายของผู้คนที่มีมาแต่ก่อน
และถูกบันทึกไว้ในตำนานพงศาวดาร ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น
โดยเฉพาะตำนานสิงหนวัติและตำนานปู่เจ้าลาวจกและลวจักราช
ตำนานปู่เจ้าลาวจกและลวจักราชเป็นตำนานที่เกี่ยวกับพัฒนาการของชนเผ่าพื้น
เมืองที่อยู่ในที่สูงของแอ่งเชียงรายมาก่อน
ที่มีพัฒนาการเคลื่อนลงจากที่สูงมาสู่ที่ราบลุ่มในการสร้างบ้านแปงเมือง
ผสมผสานกับคนพื้นราบที่เคลื่อนย้ายมาจากภายนอก
จนเป็นที่มาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่าไทยลื้อในทุกวันนี้
ส่วนตำนานสิงหนวัตินั้นเป็นเรื่องราวของคนที่ราบที่เคลื่อนย้ายมาจากภายนอก
จากลุ่มน้ำอิระวดี – สาละวินทางตะวันตกเฉียงเหนือ
เข้ามาลำน้ำกกและลำน้ำสาย เป็นตำนานของคนไทมาวและไทยใหญ่ หรือไทยหลวง
ที่เคยมีถิ่นฐานบ้านเมืองอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน
ตำนานทั้งสองเรื่องนี้
เมื่อถูกสร้างให้เป็นพงศาวดาร เป็นประวัติศาสตร์นิพนธ์ระดับชาติแล้ว
ก็กลายเป็นพงศาวดารโยนก ที่มีบทบาทในการบูรณาการทางวัฒนธรรม
เกิดตระกูลกษัตริย์หลายราชวงศ์ที่เกี่ยวกับการสร้างบ้านสร้างเมือง
สร้างศาสนสถานและเขตแคว้นของนครรัฐอย่างชัดเจน
ซึ่งความเข้าใจในความหมายความสำคัญเชิงลึกของตำนานทั้งในระดับชาติและท้อง
ถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมได้นั้น
ต้องนำเอาสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และภูมิวัฒนธรรมมาเชื่อมโยงอย่างหลีก
เลี่ยงมิได้
จากสภาพแวดล้อมทางภูมิวัฒนธรรมที่เมืองแม่สายหรือเวียงพางคำ
ข้าพเจ้าแลเห็นพื้นที่ทับซ้อนของตำนานสิงหนวัติและตำนานปู่เจ้าลาวจกและ
ลวจักราช เป็นพื้นที่ซึ่งมีเทือกเขาดอยนางนอนอยู่ทางตะวันตก
มีทั้งที่ลาดและที่ลุ่มอยู่กลางและมีลำแม่น้ำโขงอยู่ทางตะวันออก
เป็นพื้นที่ซึ่งมีลำน้ำสาย - รวก และลำน้ำอัน -
ดำหล่อเลี้ยงด้วยระบบเหมืองฝาย โดยมีร่องรอยของเมืองโบราณ ชุมชนโบราณ
และปัจจุบัน กระจายอยู่ริมลำน้ำ ลำห้วย ลำเหมืองจนทุกวันนี้
ดังเช่นในลุ่มน้ำสาย - รวก
ก็มีเวียงพางคำที่อำเภอแม่สาย เวียงแก้ว และเวียงสบรวก
ตรงปากน้ำรวกที่ไปสบกับแม่น้ำโขงที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคำในปัจจุบัน
ส่วนในลุ่มน้ำอัน - ดำ ก็มีเมืองเชียงแสน เมืองเวียงปรึกษา
เวียงมโนราห์ และอื่นๆ
แต่จุดทับซ้อนของตำนานสิงหนวัติและตำนานลาวจกอยู่ที่ลุ่มน้ำสาย - รวก
ที่มีดอยตุงอันเป็นดอยสำคัญของเทือกเขานางนอนเป็นภูศักดิ์สิทธิ์
ดอยตุงเป็นหนึ่งในสามดอยที่ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศเป็นรูปนางนอน
โดยมีดอยจ้องเป็นส่วนหัว ดอยปู่เฒ่าเป็นหน้าอก
และดอยตุงเป็นสะโพกส่วนล่าง
ลำน้ำลำห้วยจากดอยทั้งสามนี้ไหลผ่านถ้ำหินปูนและเขาหินปูนลงสู่ที่ลาดและที่
ลุ่มที่มีระบบเหมืองฝายรองรับในการกระจายน้ำ
ทั้งเพื่ออุปโภคบริโภคและชลประทานในการเพาะปลูก
โดยที่ลำน้ำลำห้วยที่ลงจากเขานั้นจะไปเชื่อมโยงกับลำน้ำมะกอกหวาน
ที่เป็นสาขาหนึ่งของลำน้ำสายที่ไหลลงมาจากรัฐฉานในประเทศพม่า
มายังบริเวณตีนดอยเวา ซึ่งเป็นส่วนปลายของเทือกเขานางนอน
ตรงตีนดอยเวานี้ เป็นจุดที่ลำน้ำสายแตกออกเป็นสองสาย
สายหนึ่งคือลำน้ำมะกอกหวานที่ไหลลงใต้
ผ่านที่ราบหน้าดอยตุงไปทางตะวันออก
แล้ววกไปรวมกับลำน้ำรวกที่ไหลลงมาจากที่สูงในเขตประเทศพม่า
ส่วนลำน้ำสายสายตรงนั้นไหลผ่านเชิงดอยเวาไปทางตะวันออก
กลายเป็นเส้นแบ่งเขตแดนกับประเทศพม่า
แล้วไปรวมกับลำน้ำรวกที่ไหลลงมาจากเขตพม่า เป็นลำน้ำรวก
ไปออกแม่น้ำโขงที่สบรวก
จากการที่ลำน้ำสายแยกออกเป็น ๒
สายตรงตีนดอยเวาเป็นลำน้ำมะกอกหวานไหลลงใต้แล้ววกไปทางตะวันออก
ไปรวมกับลำน้ำรวกที่ไหลลงมาจากทางเหนือในเขตประเทศพม่า
และรวมกับลำน้ำสายที่มาจากตีนดอยเวานี้
ทำให้เกิดบริเวณพื้นที่ราบลุ่มเชิงดอยตุง
มีลำน้ำธรรมชาติโอบอ้อมเป็นรูปบ่วง (loop) แล้วไปออกแม่น้ำโขงที่สบรวก
เป็นพื้นที่ราบลุ่มที่เหมาะสมในการชลประทานด้วยเหมืองฝาย
เกิดเมืองเวียงพางคำเป็นเมืองสำคัญขึ้นที่ตีนดอยตุง
เวียงพางคำเป็นเมืองที่อยู่ในสภาพแวดล้อมคล้ายสุโขทัยและเชียงใหม่
ที่มีเขาอยู่ข้างหลัง และเมืองตั้งอยู่บนที่ราบต่ำลงสู่ที่ราบลุ่ม
เพื่อเป็นที่รับน้ำที่ไหลมาจากเขาเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของคนเมือง
แต่ว่าอยู่ในตำแหน่งที่อันตราย เสี่ยงกับน้ำท่วมฉับพลันเมื่อฝนตกหนัก
จึงจำเป็นต้องมีแนวคูน้ำและคันดินในลักษณะซับซ้อน เพื่อการรับน้ำ
เบนน้ำ และกระจายน้ำด้วยระบบเหมืองฝาย
ผังเมืองจึงเกิดขึ้นจากการจัดการน้ำเป็นสำคัญ
และการป้องกันข้าศึกศัตรูเป็นหน้าที่รองลงมา
เวียงพางคำคล้ายเวียงเชียงใหม่ที่มีแนวกำแพงและคูน้ำโอบชั้นนอกเพื่อเบนน้ำ
เข้าลำเหมือง เช่นเมืองเชียงใหม่เบนน้ำและถ่ายน้ำลงลำน้ำแม่ข่า
ซึ่งแท้จริงเป็นลำเหมือง
ในขณะที่ทางเวียงพางคำเบนน้ำและถ่ายน้ำลงสู่เหมืองแดง
แต่น้ำที่ถูกนำเข้ามาใช้ในการอุปโภคบริโภคที่สำคัญนั้นจะไหลมาจากภู
ศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังเมือง ที่มีพระบรมธาตุเป็นสัญลักษณ์ทางจักรวาล
เช่นเมืองเชียงใหม่มีพระธาตุดอยสุเทพ แต่ทางเวียงพางคำมีพระธาตุดอยเวา
ทั้งเหมืองแม่ข่าของเชียงใหม่และเหมืองแดงของแม่สายต่างก็เป็นต้นแบบให้มี
การสร้างเหมืองฝายอีกเป็นจำนวนมาก
ที่เบนน้ำจากลำน้ำธรรมชาติที่ลงจากเขาสู่ที่ราบลุ่มเพื่อการชลประทาน
และการตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นบ้านเล็กเมืองน้อย
ตำนานปู่เจ้าลาวจกและตำนานสิงหนวัติทับซ้อนกันในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย -
รวกนี้ โดยตำนานปู่เจ้าลาวจกกล่าวว่า
ลาวจกคือผู้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งอยู่บนดอยตุง
ซึ่งน่าจะมีการทำไร่หมุนเวียนในการเพาะปลูก
เพราะกล่าวถึงการใช้เสียมตุ่น เป็นเครื่องมือ (เครื่องมือหินขัด)
ในขณะที่เรื่องลวจักราชพูดถึงลวจักราชเป็นเทพจากดอยตุง
จุติมาเกิดเป็นกษัตริย์
ลงบันไดเงินมาสร้างเมืองนครเงินยางที่ตีนดอยตุง
ซึ่งเมืองนี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเวียงพางคำ
ในขณะที่ชื่อเวียงพางคำนั้นปรากฏในตำนานสิงหนวัติว่าเป็นเมืองที่กษัตริย์ใน
ตระกูลสิงหนวัติย้ายมาจากเวียงหนองล่ม มาสร้างขึ้นเป็นเมืองสำคัญ
ที่ต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชทรงเป็นกษัตริย์
และแผ่พระเดชานุภาพไปยังบ้านเมืองต่างๆ
ความสำคัญของเวียงพางคำที่ปรากฏในตำนานอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ตอนที่พระเจ้าพรหมมหาราชจับนาคที่ว่ายมาตามลำน้ำสายแล้วกลายเป็นช้างพานคำ
อันเป็นช้างคู่บุญบารมี
กับอีกตอนหนึ่งที่กษัตริย์นครพานคำที่สืบมาจากพระเจ้าพรหมโปรดให้ขุดเหมือง
แดงขึ้นเพื่อการเพาะปลูกของประชาชน
ซึ่งเป็นเหมืองเก่าแก่ที่ยังคงสืบมาจนทุกวันนี้
เหมืองแดงเป็นเหมืองประวัติศาสตร์ที่มีการอ้างอิงและกล่าวถึงในประวัติ
ศาสตร์การชลประทานกันอยู่เนืองๆ
ถึงการเอาใจใส่ของผู้ปกครองบ้านเมืองในอดีต
ปัจจุบันนี้
การรับรู้เรื่องตำนานปู่เจ้าลาวจกและลวจักราชมีน้อยมากในบรรดาผู้รู้ของ
อำเภอแม่สาย เหตุนี้
เวียงเงินยางจึงหายไปและเคลื่อนไปอยู่ทางอำเภอเชียงแสน
แต่เวียงพางคำและเรื่องของพระเจ้าพรหมยังสืบเนื่องตลอดเวลา
แม้พระเจ้าพรหมมหาราชจะค่อยเลือนไปจากประวัติศาสตร์ในปัจจุบันก็ตาม
แต่ในบริบทของสังคมท้องถิ่นเช่นเมืองแม่สายก็ยังดำรงอยู่อย่างเข้มข้นในฐานะ
ที่เป็นผู้นำทางวัฒนธรรมที่เป็นทั้งอัตลักษณ์และสัญลักษณ์ของท้องถิ่น
ดังเห็นได้จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในลานคนเมืองหน้าที่ทำการอำเภอ
อันอยู่ในพื้นที่ของเวียงพางคำ
รูปปั้นของพระเจ้าพรหมที่เป็นอนุสาวรีย์กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนกราบ
ไหว้บวงสรวงขอพรและพลัง
การจัดงานขึ้นก็กลายเป็นประเพณีพิธีกรรมในรอบปีที่มีบทบาทในการอบรมทาง
วัฒนธรรมให้แก่เยาวชน (cultivation)
การรับรู้ประวัติความสำคัญของพระเจ้าพรหมในมิติใหม่ได้เกิดขึ้นจากทั้งการ
เล่าขานตำนานเมือง เหมืองแดง
และขานรับด้วยการแสดงการร่ายรำของเด็กนักเรียน
รวมไปถึงการนำไปเชื่อมโยงกับรูปแบบเครื่องแต่งกาย
และอาหารการกินที่สะท้อนให้เห็นลักษณะทางชาติพันธุ์ของคนแม่สายในปัจจุบัน
ทำให้เห็นได้ว่าคนเมืองแม่สายนี้
กลุ่มสำคัญในทางวัฒนธรรมก็คือคนไทยใหญ่ที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งมาช้านานและ
ยังคงเข้มข้นอยู่ในปัจจุบัน ข้าพเจ้าเห็นการแต่งกายแบบไทยใหญ่
อาหารไทยใหญ่ โดยเฉพาะข้าวฟืมแบบต่างๆ
แต่ที่สำคัญคือการแสดงสิ่งของเอกสารโบราณที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์สังคมของ
คนแม่สายในช่วงเวลา ๑๐๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันอย่างชัดเจน
หลักฐานเหล่านี้มีผู้รู้ผู้สนใจที่เป็นคนแม่สายรวบรวมวิเคราะห์ตีความอย่าง
มีเหตุผลและข้อเท็จจริง
ที่จะนำไปสร้างประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยคนท้องถิ่น
และอัตลักษณ์ท้องถิ่น
ด้วยสติปัญญาของคนท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นโดยคนแม่สายได้
ไม่มีความเห็น