รถกระป๋องพาเราเดินทางขึ้นเหนือ จุดหมายปลายทางวันนี้อยู่ที่มาเฆริต้า เมืองสำคัญของเขตตินซูเกีย ที่นั่นมีหมู่บ้านคนไทคำยัง ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมอยู่ และยังคงพูดภาษาคำไทที่พอฟังกันรู้เรื่องบ้าง โอลิเวอร์บอกว่าที่ชื่อไทคำยัง เพราะคำไท ๆ ยังคงอยู่ ดูท่าทางเขาอธิบายแบบจริงจังมาก แต่ฉันไม่รู้ว่าจริง ๆ เป็นแบบที่เขาอธิบายหรือเปล่า
เราแวะซื้อยาแก้แพ้ แก้ไข้ น้ำ และขนมปังตุนไปจำนวนหนึ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าข้างหน้าจะมีอะไรให้กินได้หรือเปล่า เตรียมพร้อมไว้น่าจะปลอดภัยกว่า อีกอย่างเราตื่นกันแต่เช้า ขนมปังนับเป็นเสบียงอย่างดีในรถ เพราะอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารเช้าของไทอาหม
วันนี้เราเดินทางกันแบบสบาย ๆ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยการพูดคุยที่สนุกสนาน เราผ่านวัดฮินดูที่กำลังทำพิธีไหว้พระศิวะ ผู้คนล้นหลามออกมาจนถึงถนน ดร.บุสปะบอกว่า วันนี้เป็นวันหยุดของอินเดีย เพื่อให้คนมาทำพิธีกรรมที่ว่านี้ กว่าจะผ่านฝูงชนออกมาได้ก็นานพอดู ฉันสังเกตเห็นว่า วันนี้ทุกบ้านเรือนจะแขวนผ้าหลากสีประดับตกแต่งอยู่รอบบ้าน บางบ้านก็กำลังทำพิธีไหว้บูชาพระศิวะอยู่ วันนี้คงเป็นวันดีของพวกเขา ... ในขณะที่พวกเรายังคงเดินทางไม่หยุดหย่อน
ประมาณ 10 โมง เราก็มาถึงร้านอาหารที่ดูดีมาก ๆ ในอินเดีย เป็นร้านของคนอินเดียที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาเปิดร้านขายอาหารที่บ้านเกิด การตกแต่งร้าน ห้องน้ำ ห้องส้วมสะอาดได้มาตรฐานดีทีเดียว
ฉันมีโอกาสได้กินสปาเก็ตตี้ในรอบสิบกว่าวันที่นี่ รสชาติไม่เลวเลย บางคนสั่งข้าวผัดอเมริกัน และอะไร ๆ ที่ไม่ใช่อาหารแบบที่เรากินประจำที่นี่ ดร.บุสปะดูจะขำ ๆ พวกเราที่ทำตัวเหมือนเด็กอดโซ โหยหิวอาหารที่ไม่ใช่อาหารแบบไทอาหม มีใครบางคนตบท้ายด้วยเป๊บซี่ อย่างเปี่ยมสุข
แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ โอลิเวอร์กับดร.บุสปะ ถกเถียงกันเรื่องเส้นทางเข้าหมู่บ้านอยู่สักพัก โอลิเวอร์เคยมาใช้ชีวิตอยู่หมู่บ้านนี้เป็นเดือน จึงจดจำสถานที่และทิศทางได้ค่อนข้างดี รถแล่นผ่านตัวเมืองมาเฆริต้าที่เงียบเหงา ผ่านวิทยาลัยที่ลูกสาวคนโตของดร.บุสปะสอนอยู่ จากนั้นก็เป็นทุ่งนากว้างไกล
ถนนเล็ก ๆ ที่พาพวกเราเข้าหมู่บ้าน มีรูปพรรณสันฐานบอกให้รู้ว่าเคยเป็นถนนลาดยางมาก่อน แต่บัดนี้ยางที่ลาดหลุดร่อน บางแห่งเป็นหลุมลึก คนขับต้องคอยหลบหลีกจนรถวิ่งคล้ายงูเลื้อย บางจังหวะหลบไม่ทัน ผู้โดยสารจึงกระเด้งกระดอนจนหัวชนหลังคา สร้างความมึนงงและขบขันในเวลาเดียวกัน ทั้งที่จริง ๆ อยากร้องไห้มากกว่า เจ็บแบบไม่ตั้งตัวแบบนั้น แต่พอเจ็บพร้อมกันหลาย ๆ คน ก็เลยกลายเป็นเรื่องขำ ๆ ไป ...
หมู่บ้านที่เราไปนี้ชื่อหมู่บ้านโพหวายมุก (Po wai Mukh) สภาพหมู่บ้านเหมือนหลุดออกมาจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง คนที่นี่เป็นไทคำยัง ที่รักสงบ มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ พวกเขาต้อน รับเราอย่างอบอุ่น ฉันพบว่าคำไทของพวกเขาที่ยังอยู่นั้น เหมือนคำไทยของเราเป็นคำ ๆ แต่พอมารวมประโยคแล้ว กลับคุยกันไม่รู้เรื่อง
พวกเขานับ 1 – 2 – 3 ... ได้เหมือนเรา เรียกฟ้า ว่า ฟ้า และหลาย ๆ อย่างแบบเดียวกับเรา แต่เวลาคุยกันต้องอาศัยภาษาอังกฤษ โดยมีสาวน้อยคนหนึ่งมาคอยเป็นล่ามให้ เราเรียกเธอว่า เรขา เพราะชื่อของเธอคือ Pub Rekha Chowlek เธอทำงานอยู่ที่วิทยาลัยในมาเฆริต้า เคยมาเที่ยวเมืองไทยกับกรุ๊ปทัวร์ที่พาไปเชียงใหม่ กรุงเทพ ฯ พัทยา และภูเก็ต ...
เรขาทอผ้าที่บ้านป้า
เรขาอัธยาศัยดีแบบคนไททั่ว ๆ ไป เธอพาฉันกับนิดไปบ้านของเธอที่ดูดีที่สุดในหมู่บ้าน เพราะเพิ่งสร้างใหม่ด้วยอิฐ และปูน มีห้องนอน ห้องน้ำที่สะอาด เธอชวนเรานอนที่บ้านของเธอคืนนี้ แต่ฉันยังไม่ได้คุยกับดร.บุสปะว่าเราจะพักกันที่หมู่บ้าน หรือไปพักที่อื่น เธอพาเราไปวัดประจำหมู่บ้าน เธอทำให้ฉันคิดถึงคนไทยสมัยโบราณ ที่เวลาจะไปวัดต้องหาผ้าสไบมาคล้องตัวเองก่อน
บ้านป้าของเรขา
ก่อนไปวัด เธอพาเราแวะไปบ้านป้า ที่ยังคงรูปแบบบ้านเรือนของไทคำยังไว้ บ้านไม้ใต้ถุนสูง มีกี่ทอผ้าอยู่ด้านล่าง เหมือนบ้านไทยแถบอีสาน มีคอกวัว คอกหมู และเล้าไก่ ยุ้งข้าว กองฟาง เหมือนบ้านชนบททั่ว ๆ ไป ...
วัดประจำหมู่บ้าน สถาปัตยกรรมคล้ายศิลปะไทใหญ่
ฉันกับนิดไม่ค่อยรู้สึกว่าได้เดินทางไกลจากบ้านเกิดมานับพันกิโลเมตร แต่ดูเหมือนว่าเรายังอยู่เมืองไทย แล้วเดินทางย้อนไปสู่อดีตประมาณ 100 ปีมากกว่า
ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ หายไปไหนหมด ดร.บุสปะไปกับคนจีนที่มีผู้เฒ่าผู้แก่พาไปไหนสักแห่ง อาจจะพาไปดูบ้าน ไปวัด ฯลฯ ส่วนโอลิเวอร์มีสมัครพรรคพวกพาหายตัวไปตั้งแต่มาถึง คาดว่าจะไปเยี่ยมบ้านคนที่เคยรู้จัก
เรขาดูจะชอบฉันกับนิดที่เป็นคนไทยเป็นพิเศษ จึงดึงตัวแยกออกมา ซึ่งก็ถือว่าโชคดีของเรา เพราะเราคุยกันรู้เรื่องสนุกสนาน ไม่เป็นพิธีการเหมือนไปกับผู้เฒ่าผู้แก่ ออกจากวัดเราเดินชมหมู่บ้าน ดูแพะ แกะ ไก่ วัว หมู ที่เดินกันขวักไขว่
ชาวบ้านเริ่มทยอยมายังบ้านหัวหน้าหมู่บ้านที่เราจอดรถทิ้งไว้ เพราะอีกไม่นานพวกเขาจะเลี้ยงอาหารกลางวันเรา เพราะตอนที่ฉันกับนิดออกมาจากบ้านนั้น พวกแม่ครัวกำลังเตรียมอาหารกันอย่างโกลาหล
หม้อหุงข้าว
เรขาบอกว่า นี่เป็นโอกาสพิเศษ เพราะปกติทุกคนจะอยู่ที่บ้านของตนเอง และแต่ละบ้านก็มีบริเวณที่ค่อนข้างกว้าง เพราะจะมีสวนอยู่ในบ้านด้วย สภาพที่นี่คล้าย ๆ บ้านเกิดที่ต่างจังหวัดของฉัน ที่ทุกบ้านมีพื้นที่หลาย ๆ ไร่ ชนิดตะโกนเรียกกันไม่ได้ยิน
ของรับแขก
เมื่อเรากลับมาที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ยังไม่มีใครกลับมาสักคน มีแต่ผู้ชายแปลกหน้า 4 คน นั่งรออยู่ พวกเขาแนะนำตัวว่าเป็นตำรวจ คนที่เป็นหัวหน้าบอกว่า พวกเขามาดูแลความปลอดภัยให้พวกเรา และแจ้งข่าวว่าอีก 2 วัน จะมีการปิดถนนในอัสสัมตอนบนทั้งหมด ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ ชนิดคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า เพราะขบวนการปลดปล่อยอัสสัมจะประท้วงรัฐบาลอินเดีย เขาถามกำหนดกลับของเรา แล้วแนะนำว่า คืนวันพรุ่งนี้ควรเดินทางไปกวาฮาตี
ตำรวจเหล่านี้เป็นคนไทอาหม และคืนนี้พวกเขาจองที่พักรับรองของกรมตำรวจที่มาเฆริต้าไว้ให้เราแล้ว เลยทำให้หมดห่วงเรื่องที่พักไปได้เปราะหนึ่ง
พิธีไหว้สิ่งศักดิ์ทำปีละครั้ง เราโชคดีที่ไปพอดีพิธี
สักพัก ดร.บุสปะก็กลับมา คุยกับพวกตำรวจสักพัก พวกตำรวจก็กลับไป ฉันว่าระหว่างตำรวจกับดร.บุสปะ ดร.บุสปะดูจะใหญ่กว่าตำรวจเสียอีก เพราะสามารถบอกตำรวจให้หาที่พักให้พวกเราได้ ฉันรู้ภายหลังว่า เกสต์เฮ้าส์ของกรมตำรวจ คิดค่าบริการห้องละ 100 รูปี ทั้ง ๆ ที่น่าจะแพงกว่านั้น และดร.บุสปะให้ตำรวจกลับไป เพราะไม่ต้องการความคุ้มครอง เพราะ ดร.บุสปะคุ้นเคยกับชาวบ้านแถบนี้ดี