เดินทางไกลไปกับไทอาหม ตอน ๑๗


สิบซาการ์ ... เยี่ยมวังเก่า .. เข้าสุสานกษัตริย์

 

               

           

               หลังอาหารกลางวัน เรานั่งผึ่งพุงคุยกันสักพัก ก็ออกเดินทางต่อไปยังสิบซาการ์ หรือสิบสาครในภาษาไทย  ท่านรัฐมนตรีจะเดินทางไปกับเราโดยรถกระป๋องด้วย  ส่วนโอลิเวอร์เริ่มเป็นไข้ จึงขอนอนพักอยู่ที่ปัตซากุ ขากลับค่อยแวะมารับ ระหว่างทางเราแวะวัดของคนไทคำตี่ และมีชาวบ้านมาต้อนรับพอสมควร

 

 

                สิบซาการ์ (Sibsagar) หรือ สิบสาคร ตามชื่อเรียกแบบไทยๆ  ได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น    สิวะซาการ์ (Sivasagar) หรือ สิวะสาครในแบบไทย ๆ  พร้อม ๆ  กันกับที่รัฐบาลอินเดียเปลี่ยนชื่อ   กัลกัตตาเป็น โกลกัตตา  บอมเบย์เป็นมุมไบ   ฯลฯ

                สิวะซาการ์ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอาณาจักรอาหมโบราณมายาวนานกว่า 500 ปี   สิวะซาการ์ หรือสิวะสาคร หมายถึงสระน้ำของพระศิวะ ซึ่งเป็นสระน้ำใหญ่กินพื้นที่ถึง 300 กว่าไร่ เป็นแหล่งน้ำสำคัญของเมือง  ฉันนึกถึงตระพังเงิน ตระพังทอง ของสมัยสุโขทัยขึ้นมา  เพราะน่าจะอยู่ในยุคใกล้ ๆ  กัน

 

       

         มาธุจยา                                                           สุสานกษัตริย์

  

                 เราไปเจ้รายดอย (Charaideo) เคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังกษัตริย์อาหมในยุคต้น ๆ   ปัจจุบันกรมศิลปากรของรัฐอัสสัมได้ขุดแต่ง จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว  ในวันที่เราไปถึงมีผู้คนเข้าชมจำนวนมาก  บ้างก็นำอาหารมานั่งปิกนิกกันเป็นกลุ่ม ๆ

                เจ้รายดอย เป็นสถานที่ฝังศพของกษัตริย์อาหม ฝังแล้วก็ยกดินขึ้นสูง คล้ายภูเขาลูกย่อม ๆ  คนอาหมเรียกว่า ม่อยด้ำ  ภูเขาลูกเล็ก ๆ  นี้มีอยู่มากมายหลายสิบลูก  บางลูกได้รับการบูรณะ จำลองสภาพให้ใกล้เคียงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบ ...

                ที่เจ้รายดอยนี้  เราได้พบกับไกด์กิตติมศักดิ์ คือ เจ้ามาธุจยา  ราชคอนวาร์ ราชกุมาร ผู้สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์อาหม คอยให้ความรู้และพาชมจุดต่าง ๆ   มาธุจยา ภาษาอังกฤษดีมาก และเป็นคนรุ่นใหม่ที่กระตือรือร้นที่จะฟื้นฟูวัฒนธรรมอาหม  เขาได้รับการศึกษาจากยุโรป และกำลังหาช่องทางเรียนปริญญาเอกอยู่  มาธุจยามากับเพื่อน ๆ  กลุ่มหนึ่งที่จำได้มีเดบาจิต   ส่วนคนอื่น ๆ  นึกชื่อไม่ออกเสียแล้ว  เพราะเรามีเวลาพบกันน้อยมาก ก็ต้องรีบไปที่อื่นต่อ

                “คราวหน้าพี่มาอยู่สักเดือนนะ จะพาเที่ยวให้ทั่วเลย” เป็นคำเชิญชวนที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนักในการตอบรับหรือปฏิเสธ ...

                ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์เขียนไว้ว่า ในการฝังศพกษัตริย์อาหม มเหสีและคนรับใช้ต้องถูกฝังลงไปด้วย พร้อมข้าวของ เครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับดำรงชีวิตในปริมาณที่มาก  นอกจากนี้ยังต้องฝังคนเป็นจำนวนหนึ่งลงไปด้วย เพื่อคอยจุดตะเกียงให้สว่างอยู่เสมอ ...

                กษัตริย์อาหมทุกพระองค์ ต้องมาประกอบพิธีบูชาบรรพบุรุษที่นี่ทุกปี

 

                ดร.บุสปะเร่งให้เรารีบเดินทางต่อ แต่กว่าจะแกะพวกเราออกมาจากกลุ่มของมาธุจยาได้ ก็ใช้เวลาพอสมควร  เหมือนมาเจอคนคอเดียวกันในเวลาแสนสั้น มีเรื่องมากมายที่ต้องสั่งเสีย ...

                เราขึ้นรถกระป๋องต่อไปที่พระราชวังกอร์กาวน์ (Gargoan) หรือเจ้หุง ที่นี่เคยเป็นพระราชวังหลวงสมัยพระเจ้าเสือกลืนเมืองฟ้า สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2083  อยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองสิวะสาคร   ตามประวัติ พระราชวังนี้ได้รับการซ่อมแซมในสมัยพระเจ้าเสือแรมฟ้า  ราว ๆ  ปี พ.ศ. 2294 – 2312

 

 

                ตัวพระราชวังมี 7 ชั้น  สร้างด้วยอิฐสีแดง แต่อยู่ใต้ดิน 3 ชั้น  จึงเห็นอยู่แค่ 4 ชั้น  เขาเปิดให้ขึ้นไปชั้นบนด้วย  แต่ฉันกับนิดหมดแรงปีนป่าย มีแต่คนจีนที่ขึ้นไปยืนโบกมืออยู่ชั้นบนสุด

                ที่นี่เราได้พบกับคุณหมอเฮมันโต  ที่พี่อุษาเล่าถึงอยู่บ่อย ๆ  คุณหมอรู้ข่าวการมาของเราจากพี่อุษา เลยแวะมาต้อนรับ  พร้อมกับนักแสดงผู้หญิงคนหนึ่ง ดูเป็นเรื่องเอิกเกริก  ที่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโบราณสถานก็ต้องออกมาต้อนรับพวกเราด้วย

 

 

                พระอาทิตย์เริ่มโบกมืออำลาชาวโลก  ขณะที่เราต้องรีบกลับแล้ว  การลาจากทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง

                เราผ่านมาส่งท่านรัฐมนตรีที่บ้าน แวะเข้าห้องน้ำแบบอังกฤษอีกรอบ  โอลิเวอร์ไม่ได้อยู่ที่นี่เสียแล้ว  ได้ความว่ามีมอเตอร์ไซค์ของใครสักคนมารับไปที่บ้าน ดร.จิริน  โอลิเวอร์เคยมาใช้ชีวิต ศึกษาเรื่องราวของไทอาหมที่นี่อยู่นาน จึงคุ้นเคยกับผู้คนไปทั่ว

                สรุปว่าเราต้องไปรับโอลิเวอร์ที่บ้าน ดร.จิริน ...

                ท่านรัฐมนตรี เลี้ยงขนม และไอศครีม เราอีกรอบ  ทั้งที่จริง ๆ  ควรจะเป็นมื้อเย็น  แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า มื้อเย็นของไทอาหม คือ 4 ทุ่ม

                เรานั่งรถย้อนกลับในเส้นทางใหม่ คราวนี้เป็นทางลาดยาง ไม่ใช่ทางลัดแบบเมื่อเช้า  ดร.บุสปะ พาเราแวะดูสวนสาธารณะของเมือง ที่ถ้าเป็นกลางวันคงจะเห็นดอกไม้ดอกโต ๆ  สวยงามสะพรั่ง  แต่นี่เป็นตอนกลางคืน ประมาณทุ่มกว่า ๆ  ได้  แต่ก็มืดมิดเหมือนดึกมากแล้ว

 

 

                “ทำไมพวกโกกอยนี่ชอบพามาดูดอกไม้ตอนกลางคืนนะ”  นิดเริ่มบ่นให้ได้ยินแบบขำ ๆ   D.K. ก็คนหนึ่งล่ะ ที่พาเราไปดูดอกไม้ตอนกลางคืน จากสวนดอกไม้ ดร.บุสปะ ก็พาไปวนดูสถานที่อะไรสักอย่าง 2 – 3 แห่ง  นอกจากจำไม่ได้แล้ว ยังไม่เห็นอะไรเลย  นอกจากความมืด ...  แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่พยายามจะให้เห็นอะไรมากมาย ในเวลาอันจำกัด

 

                ฉันนั่งตรงที่ของโอลิเวอร์ ที่อยู่ติดกับ ดร.บุสปะที่นั่งอยู่ด้านหน้า  จึงมีโอกาสได้คุยกันหลายเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ  บางเรื่องก็แปลกใหม่  บางเรื่องก็คล้ายคลึงกัน  และฉันก็ได้รู้เรื่องแมวกับลางร้ายของการเดินทางในวันนี้ ...

 

                ไม่นานเหมือนตอนขามา  เราก็ถึงบ้าน ดร.จิริน  โอลิเวอร์ถือกระเป๋ารออยู่แล้ว  เราทักทายดร.จิริน เล็กน้อยก่อนเคลื่อนขบวนเดินทางต่อไปในความมืดมิด ....   จุดหมายคือ บ้าน ดร.พี่สาวร่วมสาบานของโอลิเวอร์ เพื่อกินอาหารมื้อเย็น  กว่าจะถึงก็เกือบ 4 ทุ่ม หิวจนตาลาย ... ครั้นไปถึงจึงไม่มีใครเกรงใจใคร รีบคว้าถ้วยชาม ตักข้าว ตักกับ ที่เจ้าของบ้านทำเตรียมไว้ ราวกับบ้านตัวเอง

                คืนนั้นกว่าจะได้กลับเกสต์เฮ้าส์ที่พักก็เกือบเที่ยงคืน อากาศหนาวเย็นจนแทบไม่อยากอาบน้ำ  ฉันกับนิดรีบเข้านอน  เพื่อเตรียมตัวเดินทางไกลไปตินซูเกียพรุ่งนี้เช้า

 

 

หมายเลขบันทึก: 324557เขียนเมื่อ 2 มกราคม 2010 11:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท