ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค $๓
เอกัจจสัสตทิฏฐิ ๔ ต่อ
ตอนก่อนได้นำเสนอเอกัจจสัสตทิฏฐิ ๔ ข้อนำเสนอไปแล้วหนึ่งข้อ ดังจะขอยกมาหน่อยหนึ่งครับ.....
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๑ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก ว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.
บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยงฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีเทวดาชื่อว่า ขิฑฑาปโทสิกะ เทวดาพวกนั้นพากันหมกหมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา.
เมื่อเทวดาพวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นจนเกินเวลา ก็หลงลืมสติ เทวดาพวกนั้นจึงจุติ(ตาย)จากหมู่(เทวดา)นั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากหมู่นั้นแล้วมา(เกิด)เป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แล้วอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยการประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วสัมผัสเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องให้จิตตั้งมั่น ระลึกถึงขันธ์(ตัวเอง)ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ เกินกว่านั้นระลึกไม่ได้.
เขากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่า ขิฑฑาปโทสิกะ ไม่หมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา.
เมื่อเทวดาพวกนั้นไม่พากันหมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลาก็ไม่หลงลืมสติ.
ส่วนพวกเราได้เป็นขิฑฑาปโทสิกะหมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา.
เมื่อพวกเรานั้นพากันหมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา ก็หลงลืมสติ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้วจึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีเทวดาชื่อว่า มโนปโทสิกะ เทวดาพวกนั้นมักเพ่งโทษกันและกันเกินขอบเขต.
ก็ออกจากเรือนบวช.... ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ เกินกว่านั้นระลึกไม่ได้. เขากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่ามโนปโทสิกะ ไม่เพ่งโทษกันและกันเกินขอบเขต..... เทวดาพวกนั้นจึงไม่จุติจากหมู่นั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปอย่างนั้นทีเดียว......
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๓ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๕ ที่สมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว จึงมีวาทะว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.....
ในข้อที่ ๒ ดูเหมือนว่าเทวดาชื่อว่า ขิฑฑาปโทสิกะ จะบอบบางเสียเหลือเกิน ไม่น่าที่จะเป็นไปได้แค่การหมกมุ่นอยู่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลาแค่นี้ครับ ก็เป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นจุติได้ ก็ฝากให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายพิจารณา.
โดยส่วนตัวผมแล้วเชื่ออย่างนั้น และก็มาเปรียบเทียบกับเทวดาในปัจจุบันในโลกมนุษย์ของเรา(เทวดาเดินดิน) ก็เหมือนคนสมัยนี้เป็นเทวดาโดยสมมุติครับ คนสมัยนี้โดยส่วนมากบอบบางเหมือนเทวดาชื่อ ขิฑฑาปโทสิกะเลย โดนแดดหน่อยก็จะเป็นลมต้องอยู่ในห้องแอร์ตลอด เดินไกลๆหน่อยก็เหนื่อย ที่สำคัญคือทำงานหนักไม่ได้เหมือนคนสมัยก่อนครับ ลองดูก็ได้แค่เดินสักสองกิโลไปทำงาน ท่านทั้งหลายจะรู้สึกว่าเหนื่อยมากๆ
เห็นง่ายๆเหมือนเด็กๆสมัยนี้ไม่ต้องทำงานอะไรไม่ว่างานเล็กๆน้อยๆก็ไม่อยากทำ คอยแต่แบมือขอเงินพ่อแม่อย่างเดียวเหมือนเทวดาเลย ไม่ต้องทำอะไรอยากได้อะไรก็เนรมิตเอา คิดๆแล้ว คนสมัยนี้ก็มีบุญนะครับ นอนกินนอนใช้เหมือนเทวดา.
ส่วนเทวดาพวก มโนปโทสิกะ ก็เหมือนกัน เพ่งโทษและติเตียนกันเกินขอบเขต คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมี่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน จึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติ(ตาย)จากหมู่นั้น.
มีมากข้อคิดในทิฏฐิ ๔ ข้อนี้ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจอ่านแล้วจะได้ข้อคิดมากมาย ผมไม่อยากนำมาเขียนให้ยาวเกินไป ขอความสุขจงเกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย สวัสดีครับ.......
สวัสดีค่ะ
มาอ่านต่อค่ะ
ขอบคุณนะคะ
คุณณัฐนี่เองครับขอบพระคุณที่ตามอ่าน บกพร่องตรงไหนก็บอกนะครับ