เซลล์
โรคมะเร็ง ชีวิตของคนจุติเมื่อไข่ปฏิสนธิ กับเชื้ออสุจิ แล้วก็เริ่มแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์ จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด เซลล์ทุกเซลล์จะได้รับสารพันธุกรรม เป็นมรดกจากแม่ครึ่งหนึ่ง และจากฝ่ายพ่ออีกครึ่งหนึ่ง โดยมีความเท่าเทียมกันหมดทุกเซลล์ แต่เมื่อเซลล์จำนวนมากๆ หากอยู่ร่วมกันและทุกคนทำงานซ้ำซ้อนกัน ก็ย่อมจะด้อยสมรรถภาพกว่า ดังนั้นเมื่อการแบ่งตัวจนได้จำนวนเซลล์มากถึงระดับหนึ่ง เซลล์ต่างๆ ก็จะเริ่มเปลี่ยนไปเพื่อทำหน้าที่จำเพาะ (differentiation) ส่วนหนึ่งก็กลายเป็นสมอง ทำหน้าที่บริหารให้เซลล์ต่างๆ อยู่ในระเบียบ บางเซลล์ก็กลายเป็นส่วนของลำไส้ ทำหน้าที่ดูดซึมอาหาร หรือเป็นหัวใจ คอยสูบฉีดเลือด ส่งเสบียงอาหารและออกซิเจนให้เซลล์อื่นๆ หรือเป็นไตทำหน้าที่รักษาดุลยภาพเกลือแร่และขจัดของเสีย ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ตามกฏเกณฑ์ที่ธรรมชาติกำหนดมา ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบกัน และทุกอย่างที่เป็นไปก็เพื่อการเพิ่มสมรรถภาพในการดำรงชีพ
เมื่อมีเซลล์อยู่กันจำนวนมากมาย
ต่างคนต่างทำงานที่ส่วนรวมมอบหมายบทบาทมาให้ และต่างทำงานที่ตนเองถนัด
แต่นานวันเข้า ก็ย่อมมีสิ่งมิได้คาดหมายเกิดขึ้น เช่นในบางกรณี
เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ ก็อาจเกิดเป็นโรงมะเร็ง
มะเร็งเป็นโรคร้ายและรักษายาก
นักวิทยาศาสตร์จึงมีความพยายามที่จะศึกษากลไกการเกิดเซลล์มะเร็ง
นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พบว่า
ถ้าแยกเอาเซลล์ปกติมาเพาะเลี้ยง
ไม่ว่าเซลล์ชนิดใดจะมีรอบการแบ่งตัวค่อนข้างคงที่ สำหรับมนุษย์เรา
เซลล์จากทารกจะแบ่งได้ประมาณ 40 ถึง 60 รอบ
แต่เซลล์ที่ได้จากผู้ใหญ่ถ้ายิ่งมีอายุมากก็ยิ่งแบ่งตัวได้น้อยรอบลง
แล้วเซลล์ที่เลี้ยงก็จะทยอยแก่และตายตามกันไปแม้จะมีสารอาหารเพียงพอ
จำนวนรอบที่เซลล์สามารถแบ่งตัวนี้ เรียกว่า "the Hayflick
limit"
หากจะคำนวณจากอัตราการแบ่งตัวของเซลล์ในร่างกาย
อาจสันนิษฐานได้ว่ามนุษย์เราน่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุ 120 ปี
ถ้าไม่เกิดการตายก่อนวัย (เช่น จากอุบัติเหตุ โรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ
และหลอดเลือด)
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทราบว่าที่ปลายโครโมโซมมีหน่วยพันธุกรรมที่เรียกว่า
telomeres ซึ่งมีหน้าที่ช่วยยึดปลายสารพันธุกรรมหรือ DNA
สองสายที่พันกันเป็นเกลียวเพื่อไม่ให้แตกลุ่ย สำหรับเซลล์ทั่วไปทุกๆ
ครั้งที่เซลล์แบ่งตัว telomeres ก็จะสั้นลงๆ เมื่อยิ่งแบ่งไปมากรอบ
telomeres ก็จะยิ่งสั้น
จนสั้นถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะไม่สามารถแบ่งตัวอีก เซลล์ก็จะเกิดความแก่
(senescence) และตาย
จึงนับว่าธรรมชาติได้ลิขิตความแก่ชราและความตายไว้ในรหัสพันธุกรรมของเซลล์ตั้งแต่กำเนิด
ในปี ค.ศ. 1951
นักวิทยาศาสตร์ชื่อ George O. Gey
ได้ทดลองเอาเซลล์จากมะเร็งปากมดลูกจากผู้ป่วยรายหนึ่งมาเพาะเลี้ยง
พบว่าเซลล์เหล่านี้มีความแตกต่างจากเซลล์ธรรมดา
คือถ้าคอยเปลี่ยนถ่ายน้ำเลี้ยงให้ได้สารอาหารเพียงพอ
เซลล์เหล่านี้จะมีการแบ่งตัวไปเรื่อยๆ
สายพันธุ์เซลล์จากมะเร็งปากมดลูกนี้เรียก HeLa cells
ตามชื่อย่อของผู้ป่วย "Henrietta lacks"
และแม้ผู้ป่วยรายนี้ได้เสียชีวิตไปเกือบครึ่งศตวรรษแต่สายพันธุ์ HeLa
cells ก็ยังเจริญงอกงามในห้องทดลองเกือบทั่วโลก
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์นิยมนำมาศึกษาสรีระวิทยาของเซลล์มะเร็ง
และนำมาทดสอบผลการออกฤทธิ์ของยาที่ใช้รักษากำจัดเซลล์มะเร็ง
นอกจากเซลล์ที่กลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งโดยธรรมชาติแล้ว
นักวิทยาศาสตร์พบว่าถ้าเอาเซลล์มาฉายรังสีหรือแสง UV
หรือใส่สารเคมีบางชนิด
เซลล์ที่เป็นปกติอยู่เดิมอาจมีการเปลี่ยนแปลงที่รหัสพันธุกรรมแล้วมีการเจริญเพิ่มจำนวนไม่จำกัดเหมือนเซลล์มะเร็ง
แต่การใช้รังสี หรือแสง UV
หรือสารเคมีเพื่อให้เซลล์ปกติกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งนี้
เป็นขบวนการที่ช้าใช้เวลานาน และผลก็ไม่ค่อยแน่นอน
ต่อมานักวิทยาศาสตร์พบว่า
เชื้อไวรัสบางชนิดสามารถส่งสารพันธุกรรมของตัวเองเข้าไปในเซลล์ของ
host ทำให้เซลล์เดิมที่เป็นปกติมีการเจริญ
และแบ่งตัวอย่างไม่จำกัดแบบเซลล์มะเร็ง
และนักวิทยาศาสตร์เรียกหน่วยพันธุกรรมจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เซลล์ปกติกลายเป็นมะเร็งนี้ว่า
"oncogene" (onkos-เนื้องอก , gene - หน่วยพันธุกรรม)
เซลล์มะเร็งไม่ว่าจะมาจากที่เกิดตามธรรมชาติ
จากเซลล์ที่ได้รับการฉายรังสีหรือใส่สารเคมี หรือได้รับ oncogene
จากเชื้อไวรัส ล้วนมีลักษณะเหมือนกันคือ
เซลล์ที่เลี้ยงจะมีลักษณะที่แบ่งตัวเร็ว ใช้สารอาหารมากเซลล์กลม
และมักไม่เกาะติดกับอาหารแข็งที่ใช้เลี้ยงเช่นเซลล์ปกติ อีกทั้ง
telomeres
ของเซลล์เหล่านี้สามารถต่อยาวขึ้นเองทุกครั้งที่มีการแบ่งตัวตราบเท่าที่อาหารเพียงพอ
เซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวไม่จำกัดจำนวนรอบ โดยไม่มีการแก่และตาย
นักวิทยาศาสตร์จึงเรียกเซลล์ที่มีลักษณะนี้ว่า "เซลล์สายพันธุ์อมตะ"
(immortal cell line)
ถ้านำเซลล์สายพันธุ์ "อมตะ"
เหล่านี้มาปลูกถ่ายในสัตว์สายพันธุ์เดียวกันที่เป็นปกติ
จะไม่เกิดเป็นเนื้องอกหรือมะเร็ง ทั้งนี้เพราะว่าร่างกายมี (cell
surveillance) เช่น ถ้าพบเซลล์มีการพันธุกรรมที่ผิดปกติ
หน่วยพันธุกรรมที่เรียกว่า tumor suppressor gene
ก็สามารถทำการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์
หรือเป็นระบบภูมิคุ้มกันซึ่งถ้าตรวจพบมีเซลล์ที่ผิดปกติ
ก็จะกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวประเภท T-lymphocyte สร้างสารภูมิคุ้มกัน
(antibodies) และเพิ่มจำนวนเซลล์พิฆาต (natural killer lymphocytes)
ร่วมกันกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ออกจากร่างกาย
แต่ถ้านำเซลล์สายพันธุ์ "อมตะ"
เหล่านี้มาปลูกถ่ายในสัตว์สายพันธุ์เดียวกันที่มีระบบการตรวจสอบเซลล์บกพร่อง
โดยเฉพาะในรายที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ใน denuded mice
ซึ่งเป็นหนูที่ไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดขาว T-lymphocyte
หรือในรายที่มีภูมิคุ้มกันต่ำจากยาที่ได้รับเซลล์เหล่านี้ก็จะเจริญเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งได้
เมื่อเซลล์ "อมตะ"
เหล่านี้กลายเป็นมะเร็ง มันสามารถสร้าง growth factors
ที่กระตุ้นให้เซลล์กลุ่มพวกเดียวกันเจริญงอกงามดี
เพิ่มการสร้างหลอดเลือดที่มาเลี้ยงตัวเอง กินอาหารจุ
และชิงอาหารได้ดีกว่าเซลล์ปกติ งอกข้ามเขตที่เคยอยู่
บุกรุกและเบียดเบียนเนื้อที่ของเซลล์อื่นๆ
มีพฤติกรรมเสมือนเป็นอันธพาล
ส่วนเซลล์อื่นๆ
ที่ประพฤติตัวตามกฎเกณฑ์ทำหน้าที่ค้ำจุนส่วนรวม เช่น
ย่อยและดูดซึมอาหาร สูบฉีดโลหิต รักษาดุลยภาพเกลือแร่และขจัดของเสีย
จะถูกแย่งชิงอาหารและเบียดเบียนเนื้อที่จนสุดท้ายทนสู้ไม่ไหวก็ต้องตายไป
เมื่อขาดเซลล์ที่ทำหน้าที่ค้ำจุนส่วนรวม ร่างกายก็ต้องตาย แล้วเซลล์
"อมตะ"
ที่คอยเที่ยวรังควานเอาเปรียบผู้อื่นก็ย่อมต้องตายไปเช่นกัน
สำหรับในคน
สาเหตุการเกิดเป็นโรงมะเร็งส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ชัด สาร hydrocarbon
ในบุหรี่อาจเป็นตัวก่อมะเร็งที่หลอดลมและปอด เชื้อ HIV (Human
papilloma virus) อาจเป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนังและมะเร็งปากมดลูก
เชื้อ EBV (Epstein-Barr virus)
อาจเป็นต้นเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งในโพรงจมูก
เชื้อไวรัสตับอักเสบ B อาจเป็นสาเหตุมะเร็งที่ตับ
แต่การติดเชื้อไวรัสทั่วไปก็มิได้หมายความจะเป็นโรคมะเร็งเสมอไป
นอกจากนี้
พบว่าประมาณร้อยละ 50
ของโรคมะเร็งในคนมีความผิดปกติของระบบการตรวจสอบเซลล์ เช่น p 53 tumor
suppressor gene โดยเฉพาะมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ เต้านมและปอด
ความเครียดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ดังนั้นคนที่มีความเครียดมากก็อาจมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งได้ง่าย
สิ่งมีชีวิตอาจมีความโลภเป็นสัญชาตญาณ
แต่มนุษย์เราก็มีความละอายต่อบาปเป็นกลไกตรวจสอบเพื่อไม่ให้มีพฤติกรรมเห็นแก่ตัวมากจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
แต่บางครั้งก็มีคนประพฤติตัวเหนือกฎระเบียบเหมือนเซลล์มะเร็ง
แย่งชิงทรัพยากรจากส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง
ที่สำคัญที่สุด
หากระบบตรวจสอบของสังคมบกพร่อง
ขาดกลไกและภูมิคุ้มกันที่จะกำราบคนที่ประพฤติตัวเป็นอันธพาล
แล้วปล่อยให้คนเหล่านี้เป็นใหญ่และมีอำนาจในบ้านเมือง
คนที่ประพฤติดีและทำหน้าที่ค้ำจุนสังคม
ก็จะถูกเบียดเบียนจนยากที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสันติสุข มิช้ามินาน
สังคมก็ต้องพังพินาศลง
และความเป็น "อมตะ"
ของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น
ก็ย่อมต้องพินาศบรรลัยไปพร้อมกับความฉิบหายของสังคมที่เขาเป็นคนก่อ
ไม่มีความเห็น