ผู้เขียน Joseph Blasé และ Peggy C. Kirby
ผู้แปล ศาสตราจารย์อารี สัณหฉวี
ในบรรดายุทธวิธีของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลหรือผลกระทบต่อการทำงานด้านดีของครูนั้น การยกย่องชมเชยจะได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดจากการตอบแบบสอบถาม
เทอร์เรนซ์ ดีล(Terrence Deal, 1987) กล่าวว่า การศึกษาประสิทธิภาพของผู้บริหารจำเป็นต้องศึกษาลักษณะที่หลากหลายของโรงเรียน ผู้บริหารสถานศึกษาไม่ใช่เป็นแค่ผู้นำทางการสอนเท่านั้น แต่ต้องเป็นทั้งผู้ปกครอง นักแนะแนว ที่ปรึกษา วิศวกร ศึกษานิเทศก์ ผู้พิพากษา กวี พระเอกหรือนางเอก ในฐานะผู้ปกครองและนักแนะแนว ผู้บริหารสถานศึกษาจะพัฒนาครูทั้งในด้านส่วนตัวและวิชาชีพ ให้ความรัก ความเมตตา แนะนำ ชมเชยให้กำลังใจ มีบทบาทฟูมฟักเลี้ยงดูแบบพ่อแม่ เรื่องเช่นนี้ทำให้ต้องใช้เวลาของผู้บริหารมาก ผู้บริหารที่มุ่งเน้นเป็นผู้นำทางการสอนมากเกินไปก็อาจจะละเลยความสัมพันธ์แบบฟูมฟักเลี้ยงดู
ในการพิจารณาบทบาทของผู้บริหารในฐานะผู้ปกครองและนักแนะแนวตามที่ดีลกล่าวนี้เป็นแบบบิดาธิปไตย นักการศึกษาบางคนเห็นว่าเป็นการลดศักดิ์ศรของครู แต่ผู้เขียนก็ยืนยันจากงานวิจัยฉบับนี้ว่า “การชมเชยเป็นยุทธวิธีที่ได้ผล ได้รับการกล่าวถึงจากครูมากที่สุด และมีอิทธิพลด้านดีมากที่สุด” ดังนั้นจึงไม่ควรมองขามบทบาทขงคำชม หรือคิดว่าการชมเป็นเรื่องที่ธรรมดาอยู่แล้ว
“ผู้บริหารสถานศึกษามีบทบาทและหน้าที่มากมายในการบริหารโรงเรียน แล้วทำไมผู้บริหารจะต้องเสียเวลาอันมีค่ามานั่งชมเชยครูเล่า?”
งานวิจัยฉบับนี้พยายามศึกษาถึงยุทธวิธีที่ผู้บริหารสถานศึกษาใช้แล้วมีประสิทธิภาพในการทำให้เกิดผลสะท้อนในด้านดีแก่ครู อันเป็นผลดีต่อการปฏิบัติงานของครู การชมมีผลดีต่อครูเพราะเป็นการสนองความต้องการของครูด้านการเห็นคุณค่าในตนเอง(Self-esteem) ในขณะเดียวกันคำชมก็สนองความต้องการส่วนตัวของผู้บริหารด้วย ผลงานเขียนของเบลส(Blasé and Blasé, 1994, 1997, 1998) พบว่างานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับความสำเร็จของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารที่มีความต้องการแสดงออกสูงและยอมรับในความรักความอบอุ่นจะเป็นผู้ที่มีความรู้สึกไวต่อความต้องการด้านนี้ของครูด้วย
ความสุขของผู้บริหารที่ได้จากการชมเชยครูในงานวิจัยฉบับนี้ พบว่า ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพมักใช้ยุทธวิธีการชมเชยในการสร้างอิทธิพลหรือผลสะท้อนด้านดีต่อเจตคติและพฤติกรรมของครู ครูจะนำคำชมของผู้บริหารไปเชื่อมกับจุดมุ่งหมายของผู้บริหารในการพัฒนาการสอนในห้องเรียน ยุทธวิธีการชมชยนี้ผู้บริหารจะใช้กับครูแบบตัวต่อตัว การชมเชยหรือยอมรับความสามารถของครูช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้แก่ครู และความพึงพอใจในการทำงานของครู การชมเชยยังช่วยสร้างบรรยากาศในโรงเรียน ความสามัคคีของคณะครูและการร่วมทำงานเพื่อจุดมุ่งหมายของโรงเรียน
เรามักจะเคยได้ยินคำบ่นของผู้บริหารเรื่องความอึดอัดใจที่จะแสดงความรักใคร่ใยดีและพูดยกย่องชมเชยอย่างเปิดเผย ในทำนองเดียวกันครูบางคนก็บ่นไม่ชอบที่ผู้บริหารพูดยกย่องชมเชยเพราะดูเป็นการแสดงอำนาจสูงกว่าของผู้บริหาร
ครูที่ตอบคำถามในงานวิจัยนี้ กล่าวถึงคำชมของผู้บริหารว่ามีส่วนในการสร้างความมั่นใจและภาคภูมิใจ มีส่วนส่งเสริมให้เกิดกำลังใจ เห็นคุณค่าและยอมรับงานที่ทำ
“ครูใหญ่มักจะเขียนข้อความสั้นๆ ถึงครูแต่ละคน ให้กำลังใจ ชมเชย หรือทักทาย ข้อความเหล่านี้จะปรากฏที่ตู้จดหมายของโรงเรียน บางทีก็ส่งไปที่บ้าน ถ้าทำงานโรงเรียนเสร็จครูใหญ่ จะส่งข้อความไปถึงครูและชมเชยผลงาน ครูใหญ่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีค่า และทำให้ฉันมีความรู้สึกที่ดีต่อครูใหญ่ ฉันรู้ดีว่าครูใหญ่มีงานมากแต่การที่ครูใหญ่เห็นคุณค่าของฉันทำให้ ฉันมีความรู้สึกที่ดีต่องานและพยายามที่จะทำงานให้ดียิ่งขึ้น”
ครูมัธยมต้นคนหนึ่ง
การชมนอกจากจะทำให้ครูรู้สึกพอใจและภาคภูมิใจแล้ว ยังช่วยให้ครูรู้สึกว่า “ตนเองมีกลุ่มและเป็นสมาชิกที่สำคัญของกลุ่ม” ครูบางคนกล่าวว่าการได้รับคำชมเชยจากผู้บริหารทำให้รู้สึกว่าผู้บริหาร “รัก” และ “ให้เกียรติตน”
ครูบางคนบอกว่า คำชมเชยทำให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน ทำให้รู้สึก “กระตือรือร้น” และ “มีแรงบันดาลใจในการทำงาน” ครูบางคนกล่าวว่า “ฉันพยายามทำให้ดีที่สุด ให้สมกับคำชมเชยของครูใหญ่”
การชมยังมีผลต่อพฤติกรรมโดยทั่วไป ซึ่งครูจะพยายามทำตนให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้บริหารสถานศึกษาในเรื่องการเรียนการสอน เช่น ครูกล่าวว่า
เมื่อครูเห็นว่าการชมมีผลด้านดีต่อตน ครูก็นำไปใช้กับนักเรียน บางทีทั้งโรงเรียนก็ใช้รูปแบบนี้ ดังคำกล่าวต่อไปนี้
ครูกล่าวต่ออีกว่าคำชมของผู้บริหารมีผลทำให้ครูสนับสนุนผู้บริหารย้อนกลับด้วย เช่น
ครูบางคนอาสาช่วยเหลือผู้บริหาร
การชมเชยยังช่วยสร้างบรรยากาศของโรงเรียน เพราะครูมีขวัญกำลังใจอันมีผลต่อนักเรียน ทำให้ครูสอนดีขึ้นและทุ่มเทในการสอนมากขึ้น
งานวิจัยฉบับนี้ชี้ชัดถึงอานุภาพของการชมเชยว่าเป็นยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างอิทธิพลหรือผลสะท้อนในด้านดีต่อครู แต่ผู้เขียนก็ตระหนักถึงความขัดเขินอึดอัดใจของครู และผู้บริหารหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับยุทธวิธีนี้ จากงานวิจัยนี้มี 2 คำถามที่ผู้อ่านอาจจะถามคือ หนึ่ง เราจะถือว่ายุทธวิธีการชมเชยนี้เป็น “เรื่องพิเศษ” หรือเป็น “สามัญสำนึก” สอง ถ้าการชมเชยเป็นเรื่องพิเศษ ทำไมผู้บริหารทั่วไปจึงไม่ใช้ยุทธวิธีนี้
แดน ลอร์ตี(Dan Lortie, 1975) ตั้งข้อสังเกตว่าการสอนมีความยากลำบากเฉพาะท้องถิ่น และการประเมินผลที่เกิดกับนักเรียนและคุณภาพการสอนก็ประเมินได้ยาก ผลกระทบที่ครูมีต่อนักเรียนไม่แน่นอน ครูจำเป็นต้องประเมินตนเอง แต่บุคคลย่อมต้องการการยอมรับจากผู้อื่น การประเมินตนเองจึงยังไม่เพียงพอ ความไม่มั่นใจในตนเองของครูช่วยได้โดยการยอมรับจากผู้อื่น ครูที่เก่งๆ ก็ยังต้องการความมั่นใจ
จากการศึกษาวิจัยพบว่า การชมเชยที่มีอิทธิพลหรือผลดีต่อครูเป็นการชมเชยที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่เท่านั้น มิได้รวมถึงการชมเชยทั่วไป เช่น เสื้อชุดใหม่ ผมทรงใหม่ หรือการกระทำอื่นๆ ที่มิใช่งานในโรงเรียน
ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพจะชมเชยการปฏิบัติงานของครูเมื่อไร และอย่างไร คำตอบจากแบบสอบถามของครูระบุว่า ผู้บริหารใช้ทุกโอกาสชมเชยครู บางทีด้วยวาจา บางทีด้วยท่าทาง
ถึงแม้ว่าผู้บริหารสถานศึกษาจะมีเวลาที่จะชมเชยครูแต่ละคน ครูหลายคนกล่าวว่าบางทีครูใหญ่จะชมเชยเป็นกลุ่ม หรือชมเชยในที่ประชุมครูหรือในการประชุมกลุ่มย่อย หรือผ่านการสื่อสารภายใน ดังนี้
จากงานวิจัยนี้พบว่า การชมเชยที่เป็นยุทธวิธีที่ดี ไม่จำเป็นต้องชมเชยต่อหน้า อาจเป็นคำชมที่ถ่ายทอดมาอีกทีก็ได้ เช่น ผู้บริหารสถานศึกษาชมครูกับคนอื่น และในที่อื่น ๆ ครูคนหนึ่งกล่าวว่า “ครูใหญ่ของเราเอ่ยถึงคุณภาพของคณะครูเราทุกครั้งที่มีโอกาส”
ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพจะใช้การชมเชยเป็นกลุ่มและเป็นรายบุคคลสลับกันไป มิได้ใช้แบบใดแบบหนึ่งแบบเดียว ครูคนหนึ่งพูดถึงยุทธวิธีการชมเชยของผู้บริหารว่า “คำชมหนึ่งนาที” ครูคนหนึ่งเล่าว่า “ครูใหญ่ของเธอชมเชยทันทีเวลาที่เห็นครูทำงานดี ครูใหญ่บางคนจะเล่าถึงคำชมที่นักเรียนหรือผู้ปกครองมีต่อครูให้ครูฟัง”
นอกจากการชมด้วยวาจา ผู้บริหารสถานศึกษาบางคนเขียนข้อความสั้นๆ ถึงครู หรือหลังจากการสังเกตการสอนในห้องเรียน ผู้บริหารจะเขียนคำชมย่อๆ ไว้ให้ครู บางคนส่งจดหมายชมเชยไปที่บ้านของครู
บางทีผู้บริหารใช้วิธีชมโดยไม่พูด แต่แสดงใบหน้าท่าทาง เช่น
โดยสรุปครูใหญ่ที่มีประสิทธิภาพใช้วิธีชมเชยแบบสั้นๆ อาจเป็นทางวาจา หรือท่าทางที่ไม่เป็นทางการในการสร้างอิทธิพลในแง่ดีให้แก่คณะครูและครูแต่ละคน เทคนิคที่ครูใหญ่ใช้มีหลายแบบ เช่น เขียนจดหมายข้อความสั้นๆถึง ชมเชยกับผู้อื่น ประกาศชมเชยในที่สาธารณะ หรือการตบบ่าเบาๆ จุดสำคัญที่ต้องเน้นในที่นี้คือ ผู้บริหารที่ใช้ยุทธวิธีนี้มิได้ตั้งใจที่จะสร้างอิทธิพล หากแต่ดูเหมือนเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นคำชมจึงจริงใจและเป็นธรรมชาติ ไรน์ฮาร์ต, ชอร์ต, ชอร์ตและเอคเล่ย์ (Rinchart, Short, Short and Eckly, 1998) พบว่าความรู้สึกในพลังอำนาจของครูจะสัมพันธ์กับอิทธิพลในด้านดีทางสังคมของผู้บริหารสถานศึกษา
จากข้อมูลพบว่า ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอนในแต่ละท้องถิ่น และโครงสร้างของโรงเรียนที่ทำให้ครูแต่ละคนอยู่โดดเดี่ยว ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพจะใช้ทุกโอกาสในการชมเชยให้กำลังใจ ซึ่งคำชมนั้นมักจะสั้นๆ ไม่เป็นทางการ และเป็นการชมเชยเกี่ยวกับงานในวิชาชีพ อาจสรุปคำแนะนำสั้นๆ จากคำตอบของครูในการนำไปใช้ ดังนี้
1. ชมเชยอย่างจริงใจ
ครูที่ตอบแบบสอบถามมีความเห็นว่าผู้บริหารชมเชยอย่างจริงใจมิใช่เจตนาจะใช้อิทธิพล และการแสดงออกของผู้บริหารเป็นกันเอง สบายๆ และเป็นไปตามธรรมชาติ
2. พยายามใช้การสื่อสารทางกายให้มากขึ้น
ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพใช้ภาษาท่าทาง เช่น ยิ้ม พยักหน้า แตะบ่า เพื่อแสดงความเห็นด้วยและยกย่อง เทคนิคนี้มักจะใช้เวลาที่ผู้บริหารสังเกตการสอนในชั้นเรียนของครูแทนการพูด ซึ่งจะทำให้ขัดจังหวะการสอนของครู
3. กำหนดเวลาสำหรับการยกย่องครู
ครูหลายคนรายงานว่า ผู้บริหารจะชมเชยครูในระหว่างการประชุม ผู้บริหารบางคนใช้เวลาตอนเริ่มประชุม บางคนใช้เวลาตอนจะปิดประชุม การยกย่องชมเชยในการประชุมนักเรียนก็มักปฏิบัติเช่นกัน หรือการชมเชยผ่านทางเสียงตามสาย ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพจะกำหนดเวลาประจำในการชมเชยครู ถึงแม้ว่าการใช้ยุทธวิธีการชมเชยจะดูเป็นธรรมชาติ หากเป็นผู้ปฏิบัติใหม่คงจะต้องศึกษาและกำหนดเวลาให้แน่นอน
4. เขียนข้อความสั้นๆ ในการชมเชยครูแต่ละคน
ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพมักจะใช้วิธีเขียนข้อความสั้นๆ ชมเชยครูเป็นรายบุคคล ผู้บริหารมักจะเขียนด้วยลายมือของตนเองซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
5. พูดถึงความภาคภูมิใจกับความสามารถของครู
ครูมักจะรู้สึกว่าผู้บริหารตัดสินผลงานของตนจากผู้อื่น เพราะฉะนั้นผู้บริหารควรแสดงความภาคภูมิใจในคณะครูต่อผู้ปกครอง เพื่อนนักบริหาร และบุคคลในชุมชน
6. ชมเชยสั้นๆ
การชมเชยที่มีผลไม่จำเป็นต้องเป็นการชมเชยที่ยืดยาวและเป็นการเป็นงาน ครูจะเห็นคุณค่าในคำชมสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที การชมเชยสั้นๆ ทางวาจาและทางกาย หรือชมเชยด้วยภาษาท่าทางจะมีประสิทธิภาพมากสำหรับผู้บริหารที่มีกิจธุระวุ่น ไม่มีเวลามาก
7. เป้าหมายของการชมเชยคืองานของครู
เนื่องจากครูแต่ละคนมักโดดเดี่ยวอยู่ในห้องเรียนของตน ผู้บริหารจึงควรชมเชยการทำงานของครูเป็นรายบุคคล การชมเชยเป็นกลุ่มก็จำเป็นต้องสัมพันธ์กับงานและผลสัมฤทธิ์ของงานนั้น
ที่มา ครูใหญ่คือแรงจูงใจของครู(Bringing out the Best in Teachers : What Effective Principals Do)
ผู้เขียน Joseph Blasé และ Peggy C. Kirby
ผู้แปล ศาสตราจารย์อารี สัณหฉวี
ไม่มีความเห็น