ถ้านาคเป็นสัญญลักษณ์ของสัตว์ให้น้ำมีอิทธิฤทธิ์ ที่บันดาลคุณค่าในทางหล่อเลี้ยงชีวิต จระเข้ก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์น้ำมีชีวิตที่หล่อเลี้ยง จิตวิญาณให้เบิกบานด้วยเสียงดนตรี
สวัสดีครับ
วันนี้ผมจะขอเสนอเครื่องดนตรีโบราณของพวกเราชาวอุษาคเนย์อีกชิ้นหนึ่งซึ่งมีทั้งความน่ารักทั้งโดยเสียงและรูปลักษณ์
ที่แน่นอนว่าเราจะทราบถึงความหมายเชิงประจักษ์ของเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้ทันทีจากชื่อและรูปร่างของมันที่เป็นไปด้วยกันอย่างที่ไม่มีเครื่องดนตรีชนิดไหนจะเทียบได้
กล่าวคือเมื่อใครได้เห็นเครื่องดนตรีชนิดนี้ก็จะเรียกได้อย่างถูกต้องทันทีเป็นที่อัศจรรย์ใจ
เพราะไม่ว่ามันจะเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมไหนมอญ-เขมร พม่า หรือไทย
เขาก็จะเรียกมันด้วยศัพท์ความหมายที่แปลได้ว่า "จระเข้" ทั้งนั้น
ก็น่าแปลกว่านอกจาก"นาค"จะเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างสำคัญของคนบนฝั่งสุวรรณภูมิแล้ว
"จระเข้"
ก็ดูจะมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมร่วมกันอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ
ก็ถ้านาคเป็นสัญญลักษณ์ของสัตว์ให้น้ำมีอิทธิฤทธิ์
ที่บันดาลคุณค่าในทางหล่อเลี้ยงชีวิต
จระเข้ก็น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสัตว์น้ำมีชีวิตที่หล่อเลี้ยง
จิตวิญาณของผู้คนบนดินแดนสุวรรณภูมิให้รื่นเริงเบิกบานไปด้วยเสียงดนตรีด้วยเช่นกันนะครับ
พูดมาเสียยืดยาวเข้าเรื่องเลยนะครับ
ผมขอตั้งชื่อบันทึกของผมชิ้นนี้ว่า
ดนตรีมอญในพม่าว่าด้วย
"จะเข้"
เชิญท่านพิจารณาได้เลยครับ
จะเข้ ในภาษามอญเรียกว่า
“จฺยาม”
ส่วนในภาษาพม่าเรียกว่า “มิจอง” หรือ "หมี่จอง"
ซึ่งต่างก็แปลว่า “จระเข้” ด้วยกันทั้งสองภาษา
เพราะพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเครื่องดนตรีที่มีความพิเศษด้วยนิยมที่จะแกะหุ่นของเครื่องดนตรี
ซึ่งทำหน้าที่เป็นกล่องเสียงให้เป็นรูปจระเข้นอนเหยียดยาวตามชื่อของมันเลยทีเดียว
ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเดิมทีจะเข้ของไทยก็น่าจะมีรูปร่างและความหมายโดยนัยที่เหมือนกันนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ต่อมาในสมัยหลังช่างไทยได้ตัดทอนลายละเอียดต่างๆออกไปเหลือไว้เพียงแค่โครงสร้างดังที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
แต่ชื่อเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า “จะเข้”
ก็ยังคงเป็นสิ่งตกค้างสำคัญที่ยืนยันได้ถึงแหล่งที่มาของวัฒนธรรมร่วมกันระหว่าง
มอญ พม่า และไทยที่รักใคร่ในจระเข้เหมือนๆกัน ( :
อืมน่ารักนะครับพวกเราชาวสุวรรณภูมิ :)
จฺยาม หรือ จะเข้มอญ
ทำตัวหุ่นเป็นรูปจระเข้
ภาพจาก
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
อรรถาธิบาย
จะเข้มอญเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย [1]
ซึ่งมีตัวหุ่นทำหน้าที่เป็นกล่องเสียง
นิยมขุดและแกะสลักขึ้นจากไม้ขนุน (เปงแนบี่ง) หรือไม้ประดู่
(ปะเด้าก์) เจาะทะลุเป็นโพรงจากด้านบนตัวหุ่น
คือส่วนหลังของจะเข้ทะลุด้านล่างในส่วนท้อง
ก่อนจะขึงด้วยหนังวัวในส่วนหลัง จากนั้นก็ตอกหลักผูกสาย
จำนวน ๓ สาย
ซึ่งบ้างก็นิยมที่จะใช้สายไหม สายไนล่อน
หรือไม่ก็สายลวดโลหะ พาดจากโคนหางของจะเข้
ทับลงบนผิวไม้ไผ่แผ่นบางๆ(แหน)ที่วางอยู่บนกล่องไม้(โต๊ะจะเข้)
ที่มีลักษณะค่อยๆลาดเอียงลงทีละน้อย
จากนั้นสายก็จะถูกพาดผ่านไปที่ช่วงหลังของจะเข้ซึ่งมีแป้นบังคับเสียง(นม)ความสูงประมาณ
๑ นิ้วซึ่งติดอยู่ด้วยครั่งหรือขี้ผึ้งรองรับอยู่ ๗-๑๒ แป้น
ก่อนจะพาดไปสู่หัวของจะเข้ซึ่งเป็นส่วนของลูกบิดปรับเสียง
ในขณะที่จะเข้ของชาวยะไข่ในฝั่งตะวันตกของพม่าจะตอกหลักโยงสายจากหัวไปสู่ลูกบิดที่ส่วนหาง
การเทียบเสียง จะเข้มอญจะเทียบสายเปล่าโดยประมาณที่เสียง
F-C-F
[2]
ซึ่งโดยปกติจะดำเนินทำนองบนสายเดียว
ขณะเดียวกันก็จะใช้สายอื่นทำเป็นเสียงครางหึ่งๆไปด้วย
และบางครั้งก็จะเล่นควบคู่กันไปทั้งสาย ๒ และ ๓
ด้วยการทึ้ง(ดีด)ลงไปที่สายด้วยไม้ดีดทรงกลมแหลมลักษณะเหมือนดินสอ
ยาวประมาณ ๓ นิ้วที่ทำด้วย งาช้าง เขาสัตว์ ไม้ หรือไม้ไผ่ก็มี
เอาหละครับเป็นไงกันบ้างครับ เครื่องดนตรีชนิดนี้ทั้งน่ารัก น่าชัง
และดูเป็นสากลสำหรับพวกเราชาวอุษาคเนย์โดยเฉพาะที่อยู่ริมน้ำบนฝั่งสุวรรณภูมิดี
ในพม่ามอญมีนิทานจระเข้ใจดี
ที่มีเพื่อนเป็นเจ้าชายอาศัยในแถบย่างกุ้ง-สิเรียม ชื่อว่าเจ้า
"นะกาโมเยก"(เจ้านาคเมฆฝน) ส่วนในไทยก็มีนิทานจระเข้ร้ายชื่ออ้าย
"ชาละวัน"
และยังมีอีกหลายตำนานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของผู้คนกับจระเข้ในสุวรรณภูมิที่มีให้แก่กัน ขอมนุษย์ทั้งหลายจงอย่าเป็นภัยแก่กันเลยนะครับ
:) สาธุ
สวัสดีครับ
สิทธิพร เนตรนิยม
[1]
มอญเรียกว่า เจิก แปลว่า ๑. น. เชือก,เถา,สาย (พจนานุกรม
มอญ-ไทยฉบับสยาม,๒๕๔๘ : ๘๘) พม่าเรียกว่า "โจ่ตัดตู่ริหย่า"
[2]
เสียง ฟา - โด - ฟา ในขณะที่จะเข้ไทยนิยมเทียบด้วยเสียง
C-G-C โด - ที - โด]
--------------------------------
เอกสารอ้างอิง ๑. พจนานุกรม
มอญ-ไทยฉบับสยาม,กรุงเทพ ๒๕๔๘
๒.รามญโมส่วย,มอญคีตะนิทาน,ย่างกุ้ง
๒๐๐๔
๓.http://www.museumfire.com/burma.htm