สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) เป็นปัจจัยสำคัญประการหนี่งของการดำเนินชีวิต เพราะผู้ที่มีสมรรถภาพทางกายดี จะสามารถเจริญเติบโตได้สมวัย มีระบบประสาทและจิตใจที่ดี อวัยวะทุกส่วนมีความแข็งแรงทนทาน มีภูมิต้านทานโรคดีและมีส่วนช่วยให้พัฒนาการด้านอื่นๆ ดีไปด้วย (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2544 )
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (muscle strength) เป็นความสามารถของกล้ามเนื้อ ซึ่งทำให้เกิดความตึงตัวเพื่อใช้แรงในการยกหรือดึงสิ่งของต่างๆ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะช่วยทำให้ร่างกายทรงตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาได้หรือที่เรียกว่าความแข็งแรงเพื่อรักษาทรวดทรง ซึ่งจะเป็นความสามารถของกล้ามเนื้อที่ช่วยให้ร่างกายทรงตัวต้านกับแรงศูนย์ถ่วงของโลกอยู่ได้โดยไม่ล้มเป็นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน เช่น การวิ่ง การกระโดด การเขย่ง การกระโจน การกระโดดขาเดียว การกระโดดสลับเท้า เป็นต้น ความแข็งแรงอีกชนิดหนึ่งของกล้ามเนื้อเรียกว่า ความแข็งแรงเพื่อเคลื่อนไหวในมุมต่างๆ ได้แก่ การเคลื่อนไหวของแขนและขาในมุมต่างๆ เพื่อเล่นเกมกีฬา หรือใช้ในการปา การขว้าง การตี เป็นต้น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในการเกร็ง เป็นความสามารถของร่างกายหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายในการต้านทานต่อแรงที่มากระทำจากภายนอกโดยไม่ล้มหรือสูญเสียการทรงตัวไป ( สุพิตร , 2534 )
การพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คือ การกระตุ้นให้กล้ามเนื้อได้ทำงานในลักษณะหดตัว เหยียดตัว หรือเกร็งตัว ติดต่อกันอย่างน้อย 15 นาที (กรมวิชาการ, 2540)
รูปแบบการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ คือ การออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ทำงานในลักษณะหดตัว และคลายตัว โดยกล้ามเนื้อออกแรงต้านทานกับอุปกรณ์ที่ใช้ (พิชิตและคณะ, 2533)
ในการออกกำลังกายที่ดี จะต้องมีการวางแผนจัดเตรียมขั้นตอนรายละเอียดของโปรแกรมการฝึก เพื่อดำเนินไปสู่เป้าหมายอย่างมีระบบ การกำหนดปริมาณความหนักเบาและความบ่อยครั้งในการฝึกนั้น เป็นแนวทางสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายของการฝึกตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความแข็งแรง กำลัง หรือ ความอดทนก็ตาม การกระตุ้นให้กล้ามเนื้อต้องออกแรงในระดับที่พอเหมาะ นับว่าเป็นหัวใจสำคัญยิ่งของการฝึกหรือการออกกำลังกายทุกประเภท ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะเป็นนักกีฬาหรือไม่ก็ตาม
การฝึกกับอุปกรณ์ยกน้ำหนักหรือเครื่องมือฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนในลักษณะต่างๆ กัน ควรใช้ความหนัก 70-85 % ของความหนักสูงสุด ซึ่งเป็นระดับความหนักที่ช่วยพัฒนาความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อได้มากที่สุด นอกจากนี้การค่อยๆ ปรับเพิ่มความหนักขึ้นตามลำดับในช่วงระดับ 50 – 85 % ของความหนักสูงสุด ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลดี
กลุ่มกล้ามเนื้อที่เป็นเป้าหมายหลัก ได้แก่ กล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า (Bicep) และกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหลัง (Tricep)
การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้าโดยใช้อุปกรณ์ Free Weight นั้น นิยมใช้การยกน้ำหนักในท่า Bicep Curls โดยการจับดัมเบลหรือบาร์เบลในลักษณะหงายฝ่ามือ แขนเหยียดลง ต้นแขนแนบชิดลำตัว งอศอกยกดัมเบลหรือบาร์เบลขึ้นทางด้านหน้าระดับไหล่ ลดดัมเบลหรือบาร์เบลเหยียดแขนลงสู่ท่าเริ่มต้น ทำลักษณะเช่นนี้ต่อเนื่องไปจนครบตามจำนวนที่กำหนด
การฝึกกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหลัง ด้วยการยกน้ำหนักในท่า Tricep Extension จับดัมเบลหรือบาร์เบลในท่ายืนหรือนอนหงาย ยกต้นแขนขึ้นเหนือศีรษะ งอศอกลงทางด้านหลัง จากนั้นยกดัมเบลหรือบาร์เบลขึ้นเหนือศีรษะ จนกระทั่งศอกเหยียดตรง งอศอกลงกลับสู่ท่าเริ่มต้น ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่องจนครบตามจำนวนที่กำหนด
ท่าฝึกทั้งสองนี้ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นแขนได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังส่งผลไปถึงกล้ามเนื้อหัวไหล่ (Deltiod) ด้วย นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักเรียน นักกีฬาและผู้เข้ารับการฝึก นอกจากนี้ยังสามารถนำท่าฝึกอื่นๆ มาดัดแปลงใช้ร่วมกับท่าฝึกดังกล่าวนี้ได้ด้วย
ไม่มีความเห็น