หลักการหาโจทย์วิจัย

ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเองไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น (พระราชดำรัส)

      จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาพอที่จะหาคำตอบของ หลักการหาโจทย์วิจัย ได้บ้าง (เป็นส่วนน้อย)

• จงอย่าพอใจสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
• จงวิเคราะห์กิเลสคน (ลูกค้า)
• คิด (คนเดียว) แต่ฟัง/ดู (คนอื่น) ให้มาก (อ่านวารสาร/ สิทธิบัตร เข้าประชุมวิชาการ)

   กลับมาคุยกันเรื่องหาโจทย์วิจัยต่อดีกว่า

     หลักการที่ 1 จงอย่าพอใจสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คนเราถ้าหากพอใจปัจจุบันแล้วจะไม่ดิ้นรน ตัวอย่างเช่น คนเราถ้าหากพอใจกับอุณหภูมิที่มันร้อนอบอ้าว 36 องศา เราก็จะไม่ทำพัดมาโบกวี ถ้าหากมีพัดแล้วเราพอใจ กับมันก็จะไม่เกิดพัดลม ถ้าหากเราพอใจกับพัดลมก็จะไม่เกิดเครื่องปรับอากาศ เพราะฉะนั้น เราจะต้องไม่พอใจกับเครื่องปรับอากาศ เพื่อหาอะไรที่มันดีกว่าเครื่องปรับอากาศให้ได้สักวันหนึ่ง สรุปว่า การที่มันต้องหาความรู้สร้างของใหม่ก็เพราะว่า ไม่พอใจในสภาวะปัจจุบัน

     หลักการที่ 2 วิเคราะห์กิเลสของคนให้เป็น เพราะว่าทำวิจัยแล้วจะต้องได้ใช้ที่ได้ใช้ก็เพราะว่าคนอยากจะได้ คนอยากจะได้ก็เพราะมีกิเลสมีความต้องการ ยิ่งของที่ทำให้กิเลสลงต่ำยิ่งมีคนต้องการ

     หลักการที่ 3 เป็นเรื่องของการคิดการฟัง คิดคนเดียวใช้จินตนาการเหมือนกับในหลวงท่านมีรับสั่งไว้ ฟังคนอื่นให้มากคือ การอ่านวารสาร อ่านสิทธิบัตร เข้าประชุมวิชาการ ฟังแล้วอย่าปล่อยให้ผ่านไปแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ต้องคิดตามแบบ Critial thinking แล้วก็จะเกิดข้อสงสัย ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราสานงานต่อไป

 "ทุกอย่างมีเหตุผลที่ต้องตอบสนองสิ่งอื่นเสมอ"

 

 

[เทพฤทธิ์]

สวัสดีครับ แวะเข้ามาเยี่ยมชมโจทย์วิจัยครับ อยากทราบตัวชี้วัดกิเลสของคนครับ

[ฬิฏา]

ขออนุญาตตอบนะค่ะ หรือจะเสริมให้อีกก็ได้

ตัวชี้วัดกิเลสของคน

กิเลส คือ ความอยาก

อยากในที่นี้หมายถึง อยากทำวิจัยเพื่อมุ่งหวังให้ตอบสนองความต้องการของผู้ให้ทุน

ตัวชี้วัดความสำเร็จของกิเลส คือการตอบสนองความกระหายอยากของผู้ให้ทุนค่ะ

ตัวชี้วัดกิเลสของคน คือ การตอบสนองความกระหายอยาก นำมาซึ่งความสุข แต่เรื่องนี้ก็น่าทำวิจัยนะค่ะ เพราะไม่ค่อยมีคนศึกษา