ความหมายกรรมสิทธิ์ในกฎหมายโรมัน[1]
กรรมสิทธิ์เป็นสิทธิที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาสิทธิทั้งหลาย เพื่อที่จะอธิบายลักษณะแห่งกรรมสิทธิ์ในทุกแง่ทุกมุมจะแยกพิจารณาเป็นสองทาง คือ ในแง่ความคิดเห็นของนักนิติศาสตร์กับในแง่ความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์
---------------------------------------
ความหมายของนักนิติศาสตร์
---------------------------------------
นักกฎหมายโรมันในสมัยก่อนยุคทองไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับการให้ความหมายกรรมสิทธิ์ ต่อมานักฎหมายโรมันได้พยายามรวบรวมและให้ความหมายของคำว่า กรรมสิทธิ์ ไว้ดังนี้
Schulz[2] ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายโรมันสมัยยุคทอง ( Classical period ) อันต่อมาจากสมัยประชาธิปไตย เห็นว่าคนโรมันน่าจะให้คำนิยามกรรมสิทธิ์ว่าเป็นสิทธิเหนือทรัพย์สินมีรูปร่าง (corporeal thing) ซึ่งโดยหลักการแล้วน่าจะทำให้ผู้ครองกรรมสิทธิ์มีอำนาจโดยสมบูรณ์ (full power) เหนือทรัพย์สินดังกล่าว ถึงแม้ว่าอำนาจนั้นจะถูกจำกัดขอบเขตบ้าง (limitations) ก็ตาม
Kaser[3] เห็นว่า กรรมสิทธิ์โรมันในสมัยโบราณเป็นสิทธิตามกฎหมายเหนือทรัพย์สิน โดยมิได้มีการกำหนดขอบเขตชัดเจน (eine rechtliche Sachherrschaft ohne scharfgezogene Grenzen) ความเห็นของ Kaser ตรงกับความเห็นของ Schulz ว่าก่อนสมัยยุคทองคำนิยามกรรมสิทธิ์แม้จะไม่มีปรากฏในแหล่งที่มาใดๆ น่าจะเป็นอำนาจโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายเอกชน (die privatrechtliche Vollherrschaft) เหนือทรัพย์สิน อำนาจดังกล่าวสามารถใช้ยันทุกคน (gegen jedermann) ได้โดยการทำดำเนินคดีปกป้องทรัพยสิทธิ(action in rem)
Marky[4] อ้างว่า Institutiones (หลักกฎหมายเบื้องต้น) ของจัสติเนียนให้คำนิยามโดยตรงว่ากรรมสิทธิ์ (dominio) เป็นอำนาจในทรัพย์สินโดยสมบูรณ์ (in re plena potestas) ดูเหมือน Marky จะเป็นนักกฎหมายโรมันเพียงผู้เดียวที่อ้างแหล่งที่มาดังกล่าวเป็นไปได้ว่าคนโรมันซึ่งเป็นนักปฏิบัติพยายามใช้กฎหมายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่มีเวลาที่จะให้คำนิยามทางวิชาการอย่างน้อยก็ในสมัยยุคทอง คือ ช่วงเวลาที่ทำให้กฎหมายเอกชนโรมันเป็นปึกแผ่นโดยแท้จริง
Arangio-ruiz [5] ผู้ให้ความสนใจในกฎหมายโรมันให้คำนิยามกรรมสิทธิ์โรมันว่าเป็นอำนาจซึ่งบุคคลมีเหนือทรัพย์สิน (signoria dell’uomo supra la cosa) ความเด็ดขาดของอำนาจดังกล่าวนี้ขึ้นอยู่กับการที่กีดกันไม่ให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับอำนาจดังกล่าว (esclusione di ogni ingerenza altrui)
ส่วน Rein[6] เห็นว่ากรรมสิทธิ์โรมันเป็นสิทธิอันไม่มีขอบเขตจำกัดของบุคคลเหนือทรัพย์สิน (das unbeschrankte Recht der Person uber Sache) นอกจากจะมีความเด็ดขาดดังกล่าวแล้ว สิทธินี้มีลักษณะสงวนไว้เฉพาะผู้ครอง ห้ามผู้อื่นสอดเข้ามาเกี่ยวข้อง (ausschliessliche) อีกด้วย
หลังจากสมัยโบราณมาถึงสมัยหลังของประชาธิปไตย (in der spaten Republik) อำนาจดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายภายใต้ชื่อว่า dominium และ proprietas ตามจารีตดั้งเดิมกรรมสิทธิ์เป็นสิทธิซึ่งสงวนไว้เฉพาะผู้มีสัญชาติโรมันในนครรัฐ (burgervorrecht) ตามกฎหมายเอกชนโรมัน (ius civile) และมีชื่อเรียกว่า dominium ex iure Quiritium เท่านั้น บุคคลอื่นไม่มีสิทธิดังกล่าว ถ้าความเห็นของ Kaser เชื่อถือได้ (และไม่มีเหตุผลที่จะคิดเป็นอย่างอื่นๆ) จุดเริ่มต้นของกรรมสิทธิ์ก็เป็นดังที่เขากล่าวอ้าง[7]
----------------------------------------
ความหมายของนักเศรษฐศาสตร์
----------------------------------------
การที่พิจารณาในแง่ความคิดเห็นทางเศรษฐศาสตร์ประกอบด้วยนั้นเป็นสิ่งมีประโยชน์ เพราะเราย่อมตระหนักดีอยู่ว่า ความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์นั้นมีอิทธิพลในการบัญญัติกฎหมายเป็นอันมาก
ชาลส์จี๊ด เป็นนักเศรษฐสาสตร์อธิบายลักษณะของกรรมสิทธิ์หนักไปในทางปฏิบัติและแบ่งลักษณะของกรรมสิทธิ์ไว้เพียง 2 ประการเท่านั้น คือเป็นสิทธิจำหน่ายได้ตามชอบใจประการหนึ่งและเป็นสิทธิที่มีลักษณะถาวรอีกประการหนึ่ง
1. สิทธิจำหน่ายได้ตามชอบใจ
ลักษณะที่สำคัญอันประกอบเป็นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอย่างหนึ่ง คือ สิทธิจำหน่ายได้ตามชอบใจ โดยอ้างบทวิเคราะห์ในประมวลกฎหมายแห่งฝรั่งเศสมาแล้วว่าเป็นสิทธิจะใช้ทรัพย์และจำหน่ายโดยทำนอเด็ดขาดที่สุด ในบทวิเคราะห์หนี้ องค์ประกอบสำคัญแห่งสิทธิในทรัพย์สิน คือ สิทธิจำหน่าย ถ้าขาดสิทธิจำหน่าย สิทธิที่เหลือเป็นแต่เพียงสิทธิเก็บกินเท่านั้น กรรมสิทธิ์ขยายตัวออกทำนองเดียวกับวัตถุแห่งกรรมสิทธิ์ ชาวโรมันได้ชื่อเสียงในทางนิติศาสตร์ก็เพราะได้มีการให้กรรมสิทธิ์มีลักษณะสูงลิบซึ่งไม่เคยมีมาก่อน บัดนี้ด้วยอิทธิพลแห่งความคิดใหม่ๆ ทำให้สิทธิจำหน่ายโดยเด็ดขาดเริ่มสูญไปทุกที ต่อไปนี้คือบัญญัติแห่งวิธีจำหน่ายทรัพย์ที่คนเรารู้จักเกิดขึ้นสืบต่อตามกันมา ทำให้สิทธิจำหน่ายเป็นลักษณะสำคัญของกรรมสิทธิ์ ซึ่งมีสิทธิต่างๆ ดังต่อไปนี้
(1) สิทธิการใช้ประโยชน์แห่งทรัพย์ โดยแรงงานของคนงานอิสระนั่นคือลักษณะสำคัญของกรรมสิทธิ์ที่มีผลทางชุมชนเป็นที่สุด เพราะว่าก่อให้เกิดชนชั้นผู้ดี คนชั้นที่ไม่ต้องทำงานเป็นวันๆเพื่อหาข้าวใส่ท้อง ใช้เวลาว่างของตนไปในทางหย่อนใจบ้าง ในอาชีพบางอย่างที่นำมาซึ่งอำนาจและอิทธิพลบ้าง เช่น การเมือง อักษรศาสตร์และศิลปะ
(2) สิทธิให้โดยเสน่หา เป็นวิธีเก่าแก่วิธีหนึ่งในการจำหน่ายทรัพย์ อย่างน้อยในการโอนทรัพย์ บางทีจะเกิดขึ้นก่อนสิทธิขายทรัพย์ด้วยซ้ำ เห็นได้โดยง่ายว่าเมื่อเจ้าของมีสิทธิบริโภคได้ตามความพอใจของตนเอง ทำไมจะไม่มีสิทธิให้คนอื่นบริโภคได้ ถ้าจะทำลายทรัพย์นั้นก็ย่อมทำได้ ดังนั้นเจ้าของกรรมสิทธิ์จะจำหน่าย จ่าย โอนทรัพย์ให้แก่คนอื่นได้ สิทธินี้ช่วยให้มีการเฉลี่ยประโยชน์ของทรัพย์ให้แก่ผู้อื่นได้
(3) สิทธิจะขายหรือให้เช่า ได้ปรากฏต่อภายหลังต่อเมื่อคนรู้จักกรรมสิทธิ์ในที่ดินแล้ว แต่เมื่อราวศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราช อริสโตเติล กล่าวว่า สิทธิขายหรือให้เช่าจำเป็นแท้แก่กรรมสิทธิ์ ในสมัยนั้นคนยังหารู้จักการขายหรือให้เช่าไม่ เพราะว่าทรัพย์ยังเป็นของครอบครัวและภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติศาสนาอันเป็นสภาพของทรัพย์แต่โบราณกาล การโอนทรัพย์สินนั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าขืนทำเขาถือกันว่าเป็นการกระทำอันเป็นบาป ทุกครอบครัวพอหาได้พอเลี้ยงตน สังหาริมทรัพย์ก็ยังหาได้ยากและทุกคนมีอะไรก็เก็บเอาไว้ บางทีเขาก็ฝังทรัพย์นั้นพร้อมกับศพของเจ้าของ ในสถานการณ์อย่างนี้ถ้าจะมีการซื้อขายก็เป็นเพียงการกระทำที่นอกคอกผิดปรกติ แม้ว่าการซื้อขายต้องห้อมล้อมไปด้วยแบบวิธีอันยุ่งยาก เช่น ซื้อขายสมัยนั้นต้องกระทำกันต่อหน้าพยานถึง 5 คน แทนบุคคล 5 ชั้น ของบุคคลสมัยโรมัน
(4) สิทธิทำพินัยกรรม คือ สิทธิจำหน่ายทรัพย์ของตนเมื่อตายแล้วโดยทำพินัยกรรมขึ้นไว้ เป็นสิทธิที่เสริมต่อกรรมสิทธิ์ เพราะว่ามันยืดกรรมสิทธิ์ออกไป ภายหลังความตายสิทธินี้ไม่ใช่เป็นการขยายสิทธิมรดกดังที่มีบางท่านคิด ตรงกันข้ามสิทธิจำหน่ายทรัพย์ต่อเมื่อตาย ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิสืบทอดมรดกตามหลักโดยธรรมแต่อย่างใด สิทธิทั้งสองนี้กลับขัดแย้งกันเสียอีก มีการต่อสู้ระหว่างแนวคิดสองประการ ประการหนึ่งให้กรรมสิทธิ์เด็ดขาดแก่เอกชนและรวมเอาสิทธิการทำพินัยกรรมไว้ด้วย อีกประการหนึ่งสิทธิเป็นของครอบครัวเท่านั้น คือทรัพย์ของครอบครัวยังคงอยู่มิให้กระจายแหลกไปตกได้แก่ชาติที่มีมากกว่ามาก หัวหน้าครอบครัวรับช่วงต่อๆกันมาเป็นทอดปกครองไว้คล้ายๆกับทรัสตีและจำต้องโอนทรัพย์ต่อไปให้แก่ ลูก หลาน เหลน ฯลฯ แม้ในสมัยโรมัน สมัยเมื่อกรรมสิทธิ์ของเอกชนมีอยู่สุดขีด บิดายังไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมได้ ก่อนมีกฎหมาย 12 โต๊ะ (450 ปีก่อน ค.ศ. ) การทำพินัยกรรมต้องมีแบบพิธีมากมายเพื่อให้ศักดิ์สิทธิ์
2. สิทธิที่มีลักษณะถาวร
กรรมสิทธิ์มีลักษระถาวร ถ้าทรัพย์สินในกรรมสิทธิ์นั้นสลายไปเมื่อบริโภคหรืออายุของทรัพย์สินนั้นสั้น ลักษณะความถาวรแห่งกรรมสิทธิ์ไม่มีผลสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าทรัพย์ที่ยึดถือมีสภาพคงทนตลอดไปหรือมีอายุนาน กรรมสิทธิ์ย่อมขยายออกไปตามอายุของวัตถุอันมีผลสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง
แม้วัตถุบางอย่างจะมีสภาพถาวร เช่น ที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์ชนิดพิเศษ แต่ตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของหาถาวรตามวัตถุไปด้วยไม่ เว้นแต่จะเป็นนิติบุุคคล เจ้าของย่อมรู้จักตาย ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญแห่งกรรมสิทธิ์ เมื่อเจ้าของตายสิทธิไม่ตายตามเจ้าของ ก็ต้องผ่านไปยังมือบุคคลอื่น หากบุคคลที่ตายได้แสดงเจตนาไว้ให้ใครรับช่วงต่อไป ทรัพย์นั้นก็ตกทอดเป็นมรดกตามเจตนาของผู้ตาย แต่หากคนตายไม่แสดงเจตนาไว้ก็ให้ตกแก่ทายาท
-----------------------------------------
บทสรุปของความหมายกรรมสิทธิ์
-----------------------------------------
หลังจากสมัยโบราณมาถึงสมัยหลังของประชาธิปไตย (in der spaten Republik) อำนาจเหนือทรัพย์สินดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายภายใต้ชื่อว่า dominium และ proprietas ตามจารีตดั้งเดิม กรรมสิทธิ์เป็นสิทธิซึ่งสงวนไว้เฉพาะผู้มีสัญชาติโรมันในนครรัฐ (burgervorrecht) ตามกฎหมายเอกชนโรมัน (ius civile) และมีชื่อเรียกว่า dominium ex iure Quiritium เท่านั้น บุคคลอื่นไม่มีสิทธิดังกล่าว ถ้าความเห็นของ Kaser เชื่อถือได้ (และไม่มีเหตุผลที่จะคิดเป็นอย่างอื่นๆ) จุดเริ่มต้นของกรรมสิทธิ์ก็เป็นดังที่กล่าวอ้าง[8]
ออสติน นักนิติศาสตร์อังกฤษกล่าวว่า “กรรมสิทธิ์หมายถึงสิทธิในทรัพย์สินซึ่งไม่มีจำกัดในการใช้ ไม่มีข้อกำหนดห้ามในการจำหน่าย ไม่มีกำหนดเวลาจำกัด” ดังนั้น กรรมสิทธิ์ จึงเป็นสิทธิเด็ดขาดในทรัพย์สินในการจำหน่าย จ่าย โอน ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสิทธิกฎหมายให้ไว้ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเป็นเป็นสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคนที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าของทรัพย์ในการกีดกั้น ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของตน
คำว่า “กรรมสิทธิ์” ได้ปรากฏในประมวลกฎหมายนโปเลียน มาตรา 544 บัญญัติว่า “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินคือ สิทธิที่จะใช้และจำหน่ายทรัพย์ในทำนองเด็ดขาดที่สุด” แสดงให้เห็นว่า สภาพของกรรมสิทธิ์ว่าเป็นสิทธิเด็ดขาด เด็ดขาดอยู่สองกรณีคือ
1. เจ้าของจะใช้ทรัพย์อย่างใดๆก็ได้ เพื่อได้รับความพอใจจากทรัพย์โดยเต็มที่แม้จะทำลายเสียก็ได้
2. กรรมสิทธิ์ไม่มีจำกัดโดยกาลเวลา จนกว่าทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสิทธิจะบุบสลายสูญสิ้นไปเอง การจำหน่ายทรัพย์โดยอิสระ และความถาวรแห่งกรรมสิทธิ์ เป็นลักษณะสองประการของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
[1] ประชุม โฉมฉาย.วิวัฒนาการของกฎหมายโรมัน.โครงการตำราและวารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บริษัทโรงพิมพ์เดือนตุลา จำกัด, กุมภาพันธ์ 2548, น. 252-254
[2] Schulz Fritz. Classical Roman Law. Darmatadt : Scientia Verlag Aalen. 1992, P.338
[3] Kaser Max. Das Römische Privatrecht. Menchen : C.H. Beck’sche Verlagsbuch-handlung,1971 P. 400
[4] Marky Thomas. Curso Elementar de Droreito Romano. 8a ediçà. Sào Paulo : Saraiva,1995 P.65
[5] Arangio-ruiz. Iatituzioni di Diritto romano, Napoli : Casa Editrice Drott. Eugenio Jovene,1994 P.179
[6] Rein Wilhelm. Das Privatrecht und der Zivilprozess der Römer, Darmstadt : Scientia Verlag Aalen,1964 ,P.198
[7] Kaser Max. Das Römische Privatrecht. Menchen : C.H. Beck’sche Verlagsbuch-handlung,1971 P.402
[8] Kaser Max. Das Römische Privatrecht. Menchen : C.H. Beck’sche Verlagsbuch-handlung,1971 P.402
มาเยี่ยม มาชม
หาความรู้ทางด้านกฎหมาย
ขอบคุณค่ะ จะคอยติดตามตอนต่อไปค่ะ
ให้กำลังใจ
cheers!!!