เงินเพื่ออะไร ?
สำหรับฆราวาส คือผู้ครองเรือน หรือชาวบ้านทั่วไป คงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ถ้าจะมีใครถามว่า “ที่ทำงานหาเงินอยู่ทุกวันนั้นเพื่อประโยชน์อะไร ?” และเมื่อจะค้นหาคำตอบนี้ ผู้เขียนคิดว่าแต่ละคนคงจะให้คำตอบไม่แตกต่างกันนัก ส่วนที่แตกต่างกันน่าจะอยู่ที่ประโยชน์ซึ่งแต่ละคนเล็งเห็นและการจัดลำดับความสำคัญแห่งประโยชน์เหล่านั้นต่างหาก...
ประเด็นนี้น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพระพุทธเจ้าเคยตรัสอธิบายให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟังในอาทิยสูตร โดยจัดประโยชน์ในการแสวงหาโภคทรัพย์ไว้ ๕ ประการ กล่าวคือ
๑. เลี้ยงตนเอง มารดาบิดา บุตร ภรรยา และคนใช้ ให้เป็นสุข
๒. เลี้ยงมิตรสหาย ให้เป็นสุข
๓. ใช้ป้องกันอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นจาก ไฟ น้ำ พระราชา โจร และทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก เป็นต้น
๔. ทำพลีกรรม ๕ ประการ กล่าวคือ
๔.๑. ญาติพลี (บำรุงญาติ)
๔.๒. อติถิพลี (ต้อนรับแขก)
๔.๓. ปุพพเปตพลี (ทำบุญอุทิศให้ผู้ตายไปแล้ว)
๔.๔. ราชพลี (บำรุงราชการ)
๔.๕. เทวตาพลี (ทำบุญอุทิศให้เทพยดา)
๕. บำเพ็ญทักษิณาบุญในพระสงฆ์ผู้ประกอบด้วยสมณธรรม
เมื่อถือเอาตามนัยนี้ จะเห็นได้ว่าที่แสวงหาเงินก็เพื่อนำมาใช้จ่าย ๕ ประการเหล่านี้นั่นเอง ซึ่งผู้เขียนจะนำมาขยายความเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น
ข้อแรกและข้อที่สองนั้น พระพุทธเจ้าตรัสสรุปไว้ในพระคาถาว่า “เลี้ยงคนที่ควรเลี้ยง” ซึ่งคนที่ควรเลี้ยงในข้อแรกคือ “ตนเอง มารดาบิดา บุตรภรรยา และคนใช้” จะเห็นได้ว่าบุคลเหล่านี้คือผู้ที่เราเกี่ยวข้องโดยตรง มีลักษณะเป็นภาคบังคับว่าเราจะต้องเลี้ยงหรือรับผิดชอบมิอาจเพิกเฉยได้ ส่วนข้อที่สองคือ “มิตรสหาย” หรือเพื่อนนั้น จัดเป็นคนนอกบ้าน ไม่มีลักษณะเป็นภาคบังคับ แต่เป็นภาคสมัครใจ นั่นคือเราจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยงก็ได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสแยกออกมาเป็นสองข้อ...
มาพิจารณาเฉพาะข้อแรก คนที่ควรเลี้ยงภาคบังคับ พระพุทธเจ้าทรงระบุ “ตนเอง” ขึ้นก่อน นั่นคือผู้ที่เราต้องเลี้ยงและรับผิดชอบเป็นเบื้องต้น ผู้เขียนคิดว่าน่าจะไม่มีใครเถียงหรือคัดค้านว่าเราต้องเลี้ยงตัวเราเองให้ได้หรือพาตัวเราเองให้รอดก่อน เพราะถ้าเอาชีวิตตัวเองไม่รอดแล้ว จะป่วยกล่าวไปใยถึงคนอื่นๆ นี้เป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนคนอื่นๆ “มารดาบิดา” คือบุคลที่เราต้องรับผิดชอบถัดมา ตามสำนวนบาลี มารดาคือแม่จะต้องขึ้นก่อนบิดาคือพ่อเสมอ นั่นคือ แม่มีความสำคัญกว่าพ่อ ดังนั้น คนที่ควรเลี้ยงสำคัญที่สุดนอกจากตัวเราเองก็คือแม่ ถัดต่อมาก็เป็นพ่อ
“บุตรภรรยา” เป็นลำดับต่อมาก็ทำนองเดียวกัน ตามสำนวนบาลี บุตรคือลูกจะต้องขึ้นก่อนภรรยาคือเมียเสมอ นั่นคือ ลูกมีความสำคัญกว่าเมีย ดังนั้น คนที่ควรเลี้ยงต่อจากแม่และพ่อแล้วก็คือลูกและเมีย
อนึ่ง ผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงหรือสตรีเพศ อาจคิดว่าตนเองต่างหากเป็นคนหาเลี้ยงสามีหรือผัว มิใช่ผัวเป็นผู้หาเลี้ยงตนเอง ประเด็นนี้ก็ถูกต้อง เพราะอาจอรรถาธิบายนัยตรงข้ามได้ว่า คนที่ควรเลี้ยงต่อจากแม่และพ่อแล้วก็คือลูกและผัว ซึ่งนัยตรงข้ามทำนองนี้คัมภีร์รุ่นต่อมาได้บ่งชี้ไว้ชัดเจน แต่ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุตรภรรยาเพราะพระองค์ทรงแสดงให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีที่เป็นผู้ชายหรือบุรุษเพศฟังนั่นเอง
คนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นภาคบังคับตามความเป็นอยู่ยุคปัจจุบันก็คือ “คนใช้” หรือลูกน้อง (ตามคัมภีร์ระบุ “ทาส” ไว้ด้วย) คนเหล่านี้ตราบใดที่ยังทำงานอยู่กับเรา ยังอาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาของเรา ก็จัดว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงดูพวกเขาให้เป็นสุขตามสมควรตราบนั้น แต่หากพวกเขาเป็นอิสระไปจากเราก็อาจถือว่าเป็นเพียงคนอื่นหรือคนรู้จักเท่านั้น และมิใช่คนที่ควรเลี้ยงภาคบังคับอีกต่อไป