งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง น้องเล็ก แม่สอด


งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ชื่อเรื่อง การศึกษาเพื่อพัฒนาระบบการกำกับดูแลการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิค
ปีทำการวิจัย 2545
ชื่อผู้วิจัย นางจินตนา เทียมทิพร, ผศ.จินดา บุญช่วยเกื้อกูล, นายวิศิษฏ์ ปิยะมาดา, ภญ.นิภาภรณ์ จัยวัฒน์ , นางสาวทิพากร มีใจเย็น, ภก.ศุภกาญจน์ โภคัย, นายวิษณุ โรจน์เรืองไร
บทคัดย่อ

การวิจัยเรื่อง การศึกษาเพื่อพัฒนาระบบการกำกับดูแลการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิค มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบการกำกับดูแลการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่ออินเทอร์เน็ตในต่างประเทศ ปัญหาหรือผลกระทบของการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคที่ไม่ถูกต้องโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการกำกับดูแลการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพในประเทศไทย

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิค ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ประกอบการ เว็บมาสเตอร์ (Webmaster) ข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ผลิตในประเทศไทยและโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิค ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ และเว็บมาสเตอร์ แบบสอบถามประกอบการสัมภาษณ์ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต แบบสรุปผลการประชุมกลุ่มย่อยผู้เชี่ยวชาญ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถใช้ระบบ World Wide Web ได้

การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยใช้แบบวัดที่สร้างขึ้น และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์

การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลจากการสัมภาษณ์แหล่งข้อมูลบุคคล โดยใช้สถิติพรรณนา ค่าร้อยละ ข้อมูลจากเนื้อหาสาระของโฆษณาที่ส่งผ่านระบบ World Wide Web บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยจำแนกข้อมูลตามหมวดหมู่และหาค่าร้อยละ

ผลการวิจัยพบว่า

1. พฤติกรรมการสื่อสารของประชาชน
ประชาชนส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ใช้ในการรับข่าวสารต่างๆ และใช้เพื่อความบันเทิง (ร้อยละ 22.1 21.9 และ 21.5 ตามลำดับ) ประชาชนส่วนใหญ่เกือบครึ่งใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รองลงมาคือ เฉลี่ย 5-10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ร้อยละ 37.5) ส่วนใหญ่ไม่เคยใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อสีบค้นข้อมูลด้านสุขภาพ

2. พฤติกรรมการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่ออินเทอร์เน็ตของประชาชน
ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยเลือกซื้อสินค้าและบริการผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต และพบว่าสินค้าและบริการที่เลือกซื้อมากที่สุดคือ สินค้าประเภทเทคโนโลยีสูง เช่น คอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์

3. ประสบการณ์เกี่ยวกับการรับสื่อการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่ออินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการรับสื่อโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพ บนสื่ออินเทอร์เน็ต (ร้อยละ 69.5) แบนเนอร์หรือเนื้อหาเกี่ยวกับการโฆษณาและประชาสัมพันธ์สุขภาพบนสื่ออินเทอร์เน็ตที่ประชาชนส่วนใหญ่เคยพบคือ เครื่องสำอาง ส่วนใหญ่พอมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พรบ.สุขภาพ พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค ส่วน พรบ.ธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิค ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจ

4. ปัญหาและผลกระทบของการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่ออินเทอร์เน็ต
สถานการณ์ปัจจุบันของการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคแพร่หลายมากขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนบ้าง

ด้านผู้บริโภคพบปัญหาเกี่ยวกับการขาดความมั่นใจในคำโฆษณา และระบบความปลอดภัยของการชำระเงิน ส่วนผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการ มีความเห็นเกี่ยวกับปัญหาของการโฆษณาพาณิชย์อิเล็คทรอนิคในเรื่องเดี่ยวกันคือ ปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้อง

5. แนวทางและมาตรการในการกำกับดูแลการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่ออินเทอร์เน็ต

1) ด้านองค์การภาครัฐ
ควรมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพบนสื่ออินเทอร์เน็ต แนวทางการกำกับดูแลการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพ บนสื่ออินเทอร์ฌน็ตควรให้หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบเหล่านี้ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคม องค์กรวิชาชีพ ให้ติดตามตรวจสอบควบคุมการโฆษณา อีกทั้งสร้างระบบการเฝ้าระวัง ติดตามเว็บไซต์ที่ละเมิดกฎหมายร่วมกัน กำหนดมาตรการในการป้องกันมิให้มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายซ้ำซาก ตลอดจนดำเนินการต่อผู้ฝ่าฝืนกฎหมายตามแนวทางปฏิบัติหรือกฎดกณฑ์ขององค์กรนั้นๆ

2) ด้านผู้บริโภค
ควรมีการเผยแพร่การสร้างช่องทางให้ผู้บริโภค สามารถตรวจสอบข้อมูล เฃ่น สถานที่ตั้งของผลิตภัณฑ์ เผยแพร่ข้อมูลที่ประชาชนร้องเรียน ให้ผู้บริโภคสามารถประเมินเว็บไซต์ได้ว่า เว็บไซต์ใดควรเชื่อถือหรือไม่เพียงใด ซึ่งอาจทำได้โดยการรับรองเว็บไซต์ที่ปฏิบัติตามกฎหมายและแนวทางปฏิบัติต่างๆ โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เพื่อเป็นหลักปะรกันแก่ผู้บริโภค เช่น มีเครื่องหมายรับรองในเว็บไซต์ (trust mark) และจะต้องส่งเสริมรณรงค์อย่างต่อเนื่องให้ผู้บริโภคกระตือรือร้นในการปกป้องสิทธิของตนในอันที่จะได้ข่าวสารที่ถูกต้อง ตลอดจนสามารถเรียกร้องสิทธิได้ตามกฎหมายหากได้รับความเสียหายจากการบริโภคผลิตภัณฑ์นั้น

3) ด้านผู้ประกอบการและผู้ผลิตงานโฆษณา
ผู้ประกอบการยังมีความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่เพียงพอ ปัญหาเกี่ยวกับภาษาที่ใช้ ซึ่งเป็นการยากสำหรับผู้ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายจะสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ และเนื่องจากกฎหมายต้องอาศัยการตีความ ปัญหาการไม่ให้ความร่วมมือของผู้ประกอบการธุรกิจบางกลุ่ม ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ โดยให้มีการจัดสัมมนาผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ต่างๆ และผุ้ประกอบการทางอินเทอร์เน็ต ผู้บริโภค NGO สภาหรือสมาคมวิชาชีพ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางหรือแนวทางในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการโฆษณาและพาณิชย์อิเล็คทรอนิคผลิตภัณฑ์สุขภาพ

4) ด้านกฎหมาย
ควรมีการปรับปรุงมาตรการด้านกฎหมาย แนวทางการแก้ไขปัญหา คือกฎเกณฑ์เรื่องการขึ้นทะเบียนเว็บไซต์ที่โฆษณาหรือขายโฆษณาหรือขายผลิตภัณฑ์สุขภาพทางอินเทอร์เน็ตที่ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด กฎเกณฑ์เรื่องการจดแจ้งเว็บไซต์ที่โฆษณาหรือขายผลิตภัณฑ์สุขภาพทางอินเทอร์เน็ตที่ต้องควบคุมเข้มงวดปานกลาง กฎเกณฑ์การขายยาระหว่างผู้บระกอบการด้วยกันและธุรกิจกับผู้บระกอบวิชาชีพทางอินเทอร์เน็ตหรือสื่ออิเล็คทรอนิคอื่นๆ การหาข้อสรุปประเด็นกฎหมายเรื่องการขายตรงต่อผู้บริโภคทางอินเทอร์เน็ต หรือสื่ออิเล็คทรอนิคอื่นๆ การออกกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ (Product Liability Law) เพื่อเยียวยาผู้บริโภคที่ได้รับผลเสียหาย

หมายเลขบันทึก: 29828เขียนเมื่อ 20 พฤษภาคม 2006 15:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 17:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท