โลกอีกโลกหนึ่งบนโลกใบเดียวกัน
“...ข้างซ้ายสิบนาฬิกานั้น ตะวันยังเศร้ายังโศกศัลย์ เหตุการณ์ผ่านเลยนับแสนวัน ถอยมาด้วยกันทั้งฉานไทย
เมื่อเจงกีสข่านกรีฑาทัพ รุกตีเข้ามาถึงจีนใต้เขาถอยร่นมาเป็นไทย แต่ไทยใหญ่ เราถอนร่นมาเป็นไทย แต่ไทยน้อย....”
(ยืนยง โอภากุล,เพลงฉานสเตท อัลบั้มรัฐฉานตำนานที่โลกลืม : 2549)
ดินแดนที่ปกคลุมด้วยเทือกเขา ที่เป็นรัฐฉานในปัจจุบัน ที่ซึ่งผู้คนผูกพันอยู่กับการเกษตร คติในพุทธศาสนาและการนับถือผี ในอดีตรัฐฉาน เคยมีเอกราชในการปกครองตนเองมาเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่อังกฤษจะขยายอิทธิพลเข้ามาถึง ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ารัฐฉานกับประเทศพม่าเป็นอิสระต่อกันตั้งแต่อดีต แต่เนื่องจากประเทศพม่าซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่ม แต่รัฐฉานตั้งอยู่บริเวณเทือกเขา ลักษณะทางภูมิศาสตร์จึงไม่ใช่ประเทศเดียวกัน อังกฤษจึงไม่ได้ทำการเข้ายึดพร้อมกัน และถึงที่สุดแม้ว่าอังกฤษ จะยึดทั้งสองเมือง แต่ก็ไม่ได้ปกครองทั้งสองเมืองในลักษณะเดียวกัน หากแบ่งการปกครองออกเป็นสองลักษณะประเทศพม่าเป็นเมืองใต้อาณานิคมส่วนรัฐฉานเป็นเมืองใต้การอารักขา
การปกครองของอังกฤษ ล่วงเลยมาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พม่าพยายามโน้มน้าวเหล่าบรรดาเจ้าฟ้าที่ปกครองรัฐฉาน เจ้าฟ้าที่ปกครองเมืองต่างๆ จึงพร้อมใจกันสละราชอำนาจและอภิสิทธิ์ทั้งปวงคืนให้กับประชาชน เข้าร่วมเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ และร่วมลงนามในสนธิสัญญาปางโหลง เพื่อขอคืนเอกราช สัญญาดังกล่าวได้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีสาระสำคัญคือการระบุให้ชนชาติที่ร่วมลงนามในสัญญา สามารถแยกตัวเป็นอิสระได้หลังจากอยู่ร่วมกันครบสิบปี ระหว่างนั้นเองได้เกิดการรวมตัวของบรรดานักรบผู้กล้าจัดตั้งเป็นกองกำลังกู้ชาติที่รู้จักกันในนาม "หนุ่มศึกหาญ" (หนุ่มศึกหาญหรือนักรบรุ่นเยาว์ ในยุคเริ่มต้นพวกเขามีกำลังเพียง 31 คนกับอาวุธปืน 17 กระบอก)
แต่เมื่ออังกฤษได้ให้เอกราชกับพม่าและรัฐฉาน รัฐบาลพม่ากลับไม่ยอมทำตามสัญญา และมีความพยายามการรวมดินแดนทั้งหมดให้เป็นของประเทศพม่า เหตุนี้จึงทำให้ไทยใหญ่ จึงก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติของตนเองขึ้นในปี พ.ศ. 2491
“...อย่ามาทำขี้ลืม เจ้าหนี้มาทวงคำสัญญา ไอ้ขี้โกง จะบอกโลกให้รู้ว่าหักหลัง มันหักหลังทุกคนทุกชนเผ่า เข้ามายึดครองดินแดนพี่น้องรัฐฉานของเราไล่มันไป แผ่นดินรัฐฉ่น เป็นของเรา แผ่นดินรัฐฉานของไทยใหญ่...”
(ยืนยง โอภากุล,เพลงคิดบัญชี, อัลบั้มรัฐฉานตำนานที่โลกลืม : 2549)
มหาเทวีเฮือนคำ วีรสตรีของชาวไทยใหญ่ เห็นว่ารัฐฉาน (หรือไทยใหญ่) กำลังขาดเอกภาพในการสู้รบเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชจากรัฐบาลกลางของพม่า จึงพยายามรวบรวมองค์กรที่กระจายอยู่ทั่วรัฐฉานให้กลับมาต่อสู้ร่วมกันในนามกองทัพรัฐฉาน (Shan State Army : SSA) โดยการรวมตัวของชาวไทยใหญ่ก็มีเอกภาพอยู่ได้ไม่นาน เมื่อประสบปัญหาขาดแคลนอาวุธและงบประมาณ แกนนำจึงเริ่มมีความคิดแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการเข้าร่วมกับพม่า ตั้งกองกำลังอยู่ในรัฐฉานติดชายแดนจีน อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการเข้าร่วมเพราะไม่อยากเสียอุดมการณ์
ในช่วงเวลาหนึ่งขุนส่าขึ้นมาเป็นผู้นำกองกองทัพรัฐฉาน ประชาชนไทยใหญ่หลายคนเชื่อว่าขุนส่าจะช่วยกู้เอกราชได้ จึงยกให้ขุนส่าเป็นใหญ่ แต่ขุนส่ากลับปกครองในแบบเอกาธิปไตย (Autarchy ที่มา : Nontri Dictionary) แปลอย่างง่าย ๆ ว่า
“คนจะได้เป็นใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นพวกเดียวกับตนหรือไม่” และนำกองทัพเข้าสู่โลกของการค้ายาเสพติด
"คุณต้องไม่ลืมว่า พวกเราชาวฉานกำลังทำสงครามกู้ชาติ เราต้องการหลุดพ้นจากกองทัพพม่าที่กดขี่เรามาตั้งแต่ที่พม่าได้รับเอกราช ผงขาวเป็นหนทางหากินอย่างเดียวของเราและเป็นธุรกิจอย่างเดียวที่สามารถหาเงินมาสนับสนุนการต่อสู้ของเราได้.." (ขุนส่า,2548)
การต่อสู้ที่ดำเนินมากว่า 30 ปีเมื่อถึงจุดไร้ทิศผิดทาง ภาพลักษณ์ของขุนส่าที่นำกองทัพรัฐฉาน คือนักค้ายาเสพติด ท้ายที่สุดขุนส่ากลับนำกำลังร่วม 3 หมื่นคนไปอยู่กับพม่า สร้างความเสียหายให้แก่การรบกู้ชาติของไทยใหญ่เป็นที่สุด
เมื่อเหตุการณ์พลิกผันเช่นนั้น "เจ้ายอดศึก" อดีตทหารสื่อสารของเจ้ากองเจิงและเคยนำกองทัพเคียงรบร่วมกับขุนส่าได้นำพลรบ 1,500 นายตีฝ่าการปิดล้อมของทหารพม่า ข้ามแม่น้ำสาละวินมาตั้งมั่นที่ฝั่งตะวันออก เฝ้าฟูมฟักพลพรรคขึ้นต่อสู้อีกครั้ง
“...เสียงหวาน ๆ คงไม่มีกล่อมน้อง เคยประคองเคียงข้างต้องห่างกายพี่ไปรบไม่ได้หายไปไหน รบถวายแด่ภาษาอักขระไตแก้วแหวนเงินทองเคยให้น้อง พี่จำต้องเปลี่ยนเป็นยุทธปัจจัยหนุนการรบไม่ได้ห่ายไปไหน รบถวายแด่พระศาสนาไต...”
(ยืนยง โอภากุล,เพลงสั่งน้อง, อัลบั้มรัฐฉานตำนานที่โลกลืม : 2549)
“ชีวิตตอนเด็ก ถ้าจะสนุกก็ง่ายมาก สมัยเป็นเด็ก ชีวิตสนุกสนานมากตอนนั้น อยู่ร่มเย็นเป็นสุขสนุกแบบเด็ก
เราพอใจแล้วกับสิ่งที่ได้ ถึงเวลากิน เราไปกิน ถึงเวลานอน เราไปนอน ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ตอนเป็นเด็กแบบนั้น ยากได้คืนมาอีกครั้ง อิสระแบบนั้น ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว อยากไปไหนไปไม่ได้ อยากทำอะไร ทำไม่ได้ ตอนเป็นเด็กหัวใจยังคงขาวบริสุทธิ์ตอนนี้ มันหมองคล้ำ” (เจ้ายอดศึก,2549)
ความนัยระหว่างบรรทัดของเผยให้เห็นความเจ็บปวดของการสูญเสียคืนวันแห่งชีวิตเสรี วัยเด็กของ “หนุ่มศึกหาญ” ที่น่าจะสดใส กลับต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่หมองเศร้า เจ้ายอดศึก ผู้นำคนปัจจุบัน โดยได้เชิญบรรดาผู้นำและแกนนำคนสำคัญของชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลพม่าทั้ง 6 กลุ่มทั้ง KNU, KNPP, CNF (Chin national Democratic Front), ALP (Alakan Liberation People) และ KIO เข้าร่วมหารือที่ดอยไตแลง เพื่อความปรองดองของพันธมิตร ที่จะต้องจับมือกันไว้ให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น รวมทั้งการตอบโต้ ซึ่งอาจจำเป็นถึงขั้นรวมกำลังกวาดล้างใหญ่บางพื้นที่ ซึ่งพันธมิตรชนกลุ่มน้อยเห็นว่าไม่ปลอดภัย
“...วันนี้เรามีผู้นำผู้กล้าหาญอย่างเจ้ายอดศึก ที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ศัตรูกองทัพของเรายิ่งใหญ่และฐานทัพของเรามั่นคง ยืนหยัดอยู่ ณ ดอยไตแลง...”
(ยืนยง โอภากุล,เพลงมารวมกัน, อัลบั้มรัฐฉานตำนานที่โลกลืม : 2549)
ปัจจุบันสถานการณ์ภายในรัฐฉานก็ยังไม่มีเสถียรภาพ ทางความมั่นคง กองกำลังกู้ชาติยังคงดำรงอยู่ หากในช่วงที่ไม่มีการปะทะกับฝ่ายรัฐบาลทหารพม่า รัฐฉานก็จะมีความเงียบสงบซึ่ง เป็นพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของชาวไทยใหญ่ แต่เมื่อล่วงเข้าสู่ฤดูแล้ง การปะทะกันระหว่างทหารรัฐบาลพม่าและกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนต้านทิศเหนือและทิศตะวันตกจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี.
...............................
ประเทศไทยปัจจุบัน ที่ซึ่งผู้คนผูกพันอยู่กับการเกษตร คติในพุทธศาสนาและยังมีการนับถือผีอยู่บ้างในบางพื้นที่ ประเทศไทยมีเอกราชในการปกครองตนเอง แม้ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา โปรตุเกสจะขยายอิทธิพลเข้ามาถึง แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าดินแดนไทยมีอิสระและไม่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของคนเชื้อชาติอื่น
การปกครองของไทยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ล่วงเลยมาจนถึงปีพ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กษัตริย์ของไทยมีเหตุให้ต้องสละราชอำนาจและอภิสิทธิ์ทั้งปวงคืนให้กับประชาชน จากการปฏิวัติสยามของคณะราษฏร์ การณ์ดังกล่าวได้นำไปสู่การร่างเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย และทรงมอบรัฐธรรมนูญ คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุด ว่าด้วยการจัดระเบียบการปกครองราชอาณาจักรไทย ทว่านับจนถึงปี พ.ศ. 2550 ราชอาณาจักรไทยมีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ ซึ่งขัดกับแนวคิดทางนิติศาสตร์ที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ ดังนั้น จึงควรมีความศักดิ์สิทธิ์และคงทนถาวร อาจแก้ไขได้ ตามเวลา และสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ตลอดระยะเวลา 50 ปี มีการปฏิวัติรัฐประหาร รวม 18 ครั้ง เฉลี่ย 2.7 ปีต่อครั้ง (สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันยังไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ยังคงใช้ฉบับเดิมมาแต่แรก มีเพียงการแก้ไขปรับปรุงส่วนที่จำเป็นเท่านั้น)
ประชาชนไทยมีส่วนร่วมในประชาธิปไตยเพียงแค่การหย่อนบัตรเลือกตั้ง เมื่อหมดเวลาประชาธิปไตย ก็เป็นเวลาของพรรคการเมืองที่จะร่วมตกลงจัดตั้งรัฐบาลขึ้นสู่การครองอำนาจรัฐโดยหลงลืมเจ้าของประเทศไปชั่วขณะ สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากเสียงของประชาชนได้ จนเมื่ออำนาจรัฐถูกนำไปใช้ในทางไม่ถูกต้อง (ในความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มหนึ่ง) ระหว่างนั้นเองได้เกิดการรวมตัวของบรรดาแกนนำในนาม "พันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย" (ในยุคเริ่มต้นพวกเขามีกำลังเพียง 5 คนกับเวทีปราศรัยเล็ก ๆ) พยายามรวบรวมประชาชนที่กระจายอยู่ให้กลับมาต่อสู้ร่วมกัน
"คุณต้องไม่ลืมว่าพวกเรามาจากการเลือกตั้ง แต่มาเสียเวลาและกำลังต่อสู้กับกุ๊ยข้างถนน การเป็นรัฐบาลเป็นหนทางหากินอย่างเดียวของเราและเป็นธุรกิจอย่างเดียวที่สามารถหาเงินมาสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆไปได้.." (ทักษิณ ชินวัตร)
การต่อสู้ด้วยวิถีประชาธิปไตยที่ดำเนินมากว่าครึ่งศตวรรษ มาถึงจุดไร้ทิศผิดทาง ด้วยระบอบทักษิณ ภาพลักษณ์อดีตนายกรัฐมนตรี คือนักธุรกิจเพื่อพวกพ้อง ในท้ายที่สุดเมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรคด้วยคำสั่งศาล กลับมีการนำกำลังร่วม 3 ร้อยคนไปตั้งพรรคใหม่ เมื่อเหตุการณ์พลิกผันเช่นนั้น “แกนนำพันธมิตร" ที่อดีตเคยร่วมธุรกิจและธุรกรรมกับบุคคลในระบอบทักษิณ ได้นำพลรบนับหมื่นเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเฝ้าฟูมฟักพลพรรคขึ้นต่อสู้อีกครั้ง
สมัคร สุนทรเวช ผู้นำประเทศคนปัจจุบัน (เป็นคนดียวกับที่สังคมส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นตัวแทนของระบอบทักษิณ) ได้รวบรวมหัวหน้าพรรคการเมืองอีก 6 พรรค เข้าร่วมบริหารประเทศและในที่สุดก็เข้าหารือคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จ.อุดรธานี เพื่อยืนยันความปรองดองของพรรคร่วมรัฐบาล ในอันที่จะต้องจับมือกันไว้ให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น และอาจรวมทั้งการตอบโต้ ซึ่งอาจจำเป็นถึงขั้นรวมกำลังกวาดล้างกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในอนาคต
......................................
ปัจจุบันสถานการณ์ภายในรัฐฉานก็ยังไม่มีเสถียรภาพ ทางความมั่นคง กองกำลังกู้ชาติยังคงดำรงอยู่ หากในช่วงที่ไม่มีการปะทะกับฝ่ายรัฐบาลทหารพม่า รัฐฉานก็จะมีความเงียบสงบซึ่ง เป็นพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของชาวไทยใหญ่ แต่เมื่อล่วงเข้าสู่ฤดูแล้ง การปะทะกันระหว่างทหารรัฐบาลพม่าและกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนต้านทิศเหนือและทิศตะวันตกจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
โปรดอ่านซ้ำอีกครั้ง....!!!
ปัจจุบันสถานการณ์ภายในประเทศไทยก็ยังไม่มีเสถียรภาพ ทางความมั่นคง กำลังพันธมิตรยังคงดำรงอยู่ เพียงแต่หากในช่วงที่ไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง ประเทศไทยก็จะมีความเงียบสงบซึ่ง เป็นพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของชาวไทยทั้งมวล
รัฐฉานกับแผ่นดินไทย คงไม่ต่างกัน ที่เคยสงบร่มเย็นต้องมาถูกกระทำให้บอบช้ำจนไม่รู้จะเยียวยาคืนเดิมได้ วันใด ทั้งพวกเขาและพวกเรายังหวังลึก ๆ ว่าสักวันหนึ่ง ประชาชนจะเป็นเจ้าของประเทศตัวจริง โดยไม่ต้องขึ้นกับพม่า พันธมิตรหรือพรรคการเมืองใด ๆ ข่าวการประชุม 3 ฝ่าย (ฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐสภา และพรรคการเมือง) ในวันที่ 8 กันยายน 2551 ทำให้นึกถึง “เขมรสามฝ่าย” ในอดีต
นี่ประเทศไทยถอยหลังไปเคียงประวัติศาสตร์กับพม่าและเขมรแล้วหรือนี่
“ตราบชีวิตที่เหลือ ฉันคงพอได้ทำสิ่ง ที่ผู้คนอยากมาแสนนานจวบจนวันสุดท้ายที่มีลมหายใจอยู่ จะสู้ทนแลกมาไม่เสียดายแม้ตัวแทบแหลกแม้ใจสลายจะไปให้ถึงที่เคยมุ่งหวังขอแค่เพียงก้าวเดียว จะไปให้ถึงที่คนใฝ่ฝันขอแค่เพียงก้าวหนึ่งก่อนจากนี้ไปย่อมก้าวเดินได้มั่นคง........ก้าวไปบนโลกรักกัน.....รักกันเป็นหนึ่งเดียว.........”
(ยืนยง โอภากุล,เพลงโลกแห่งความรัก,อัลบั้มโอท็อป : 2549)
ไม่มีความเห็น