MULTIMEDIA หรือสื่อประสมเพื่อการศึกษา
ปัจจุบันวิสัยทัศน์การพัฒนาการศึกษาในสังคมไทยท่ากลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้นในแง่ลบอันมีผลกระทบเชื่อมโยงจากบริบทสังคมโลก การพัฒนาคุณภาพคนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้กรศึกษาจะเป็นกระบวนการสำคัญ ในการพัฒนาคนแต่ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพเท่านั้น จึงจะเอื้ออาทรต่อการพัฒนาศักยภาพและความสามารถตลอดจนคุณลักษณะต่างๆ ของคนที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตแนวคิดในการพัฒนาการศึกษาจำเป็นต้องปรับเพื่อให้การจัดการศึกษาบรรลุตามวิสัยทัศน์ที่พึงประสงค์โดยการให้การศึกษาเป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้เรียนรู้จักการเรียนรู้ รู้วิธีแสวงหาความรู้ด้วยตนเองในรูปแบบและวิธีการหลากหลาย โดยเน้นการศึกษาที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาการศึกษา ให้โอกาสผู้เรียนมีบทบาทในการพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ความมุ่งหวังดังกล่าว มีผลให้องค์ประกอบหนึ่งของการจัดการศึกษา ที่เรียกว่าเทคโนโลยีทางการศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องและพัฒนาตัวเองให้มีประสิทธิภาพตามวิสัยทัศน์ของการพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน
โดยที่เทคโนโลยีทางการศึกษา มีบทบาท ในการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อออกแบบและส่งเสริมกระบวน การเรียนการสอน โดยเน้นวัตถุประสงค์ทางการศึกษาที่สามารถวัดได้อย่างถูกต้องแน่นอน มีการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มากกว่าจะยึดเนื้อหาวิชามีการใช้การศึกษาเชิงปฏิบัติโดยผ่านการวิเคราะห์และการใช้เครื่องโสตทัศนูปกรณ์รวมถึงเทคนิคการสอนโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ อาทิเช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ สื่อการสอนต่าง ๆ ในลักษณะของสื่อประสม และการศึกษาตนเอง
สื่อ
(MEDIA) เป็นตัวกลางที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องราว ข่าวสาร
ความรู้เหตุการณ์ แนวความคิด สถานการณ์ ฯลฯ
ที่ผู้ส่งสารต้องการส่งไปยังผู้รับสารสื่อการสอน (INSTRUCTION MEDIA)
เป็นตัวกลางที่ช่วยนำ
และถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน
เพื่อให้การเรียน การสอน
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์มัลติมีเดียหรือสื่อประสม(MULTIMEDIA)
เป็นการนำเอาตัวกลางหลายๆ ชนิดที่ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น เสียง
ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ มาสัมพันธ์กัน ซึ่งแต่ละชนิดมี
คุณค่าส่งเสริมซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
ป้องกันการเข้าใจความหมายผิดเป็นการให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกันสามารถตอบสนองจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนได้อย่างสมบูรณ์
มีการจัดระเบียบของตัวกลาง(MEDIA)
เพื่อใช้ให้เหมาะสมในการนำเสนอเนื้อหาของสื่อแต่ละชนิด
เพื่อให้คำตอบที่ชัดเจนเป็นประโยชน์และน่าสนใจแก่ผู้เรียน
องค์ประกอบสำคัญในการออกแบบการจัดระบบสื่อประสมนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแต่การใช้เครื่องมือทางโสตทัศน์มากกว่า
2 ชนิด ขึ้นไปเท่านั้น
แต่จะต้องเป็นการประสานความสัมพันธ์ของสื่อที่ใช้
เพื่อใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและความสามารถ
หรือศักยภาพของสื่อแต่ละชนิดนั้นให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
ทำให้สื่อแต่ละชนิดที่ใช้นั้นอำนวยประโยชน์แก่ดันและกัน
ทำให้เกิดการ
เรียนรู้ที่ดีได้มากขึ้น
ประเภทของสื่อประสม
อาจจำแนกตามจุดมุ่งหมายและลักษณะการใช้ได้ดังนี้
1. จำแนกตามจุดมุ่งหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.1
ใช้เพื่อจุดมุ่งหมายหลายอย่างสื่อประสมประเภทนี้มักอยู่ในรูปของสื่อหลายชิ้นมาอยู่ร่วมกันแล้วใช้สอนได้หลายเรื่องเรียกว่า
"ชุดอุปกรณ์" (Kit) เช่น ชุดอุปกรณ์วิทยาศาสตร์
ใช้สอนการแยกน้ำด้วยกระแสไฟฟ้าก็ได้
สอนการผสมสารเคมีบางอย่างเพื่อพิสูจน์สมการเคมีก็ได้
1.2
ใช้เพื่อจุดหมุ่งหมายเฉพาะอย่างประเภทนี้มักจะอยู่ในรูปสื่อหลายชนิดมารวมกันแต่สอนได้เพียงเรื่องเดียว
เรียกว่า"ชุดการสอน" (Learning package)
2. จำแนกตามลักษณะของสื่อและลักษณะการใช้ แบ่งเป็น 2 ประเภท
คือ
2.1 การสอนโดยใช้สื่อประสม เป็นการสอนที่ใช้สื่อหลายอย่าง
ทั้งสื่อที่เป็นวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ
2.2 การเสนอสื่อประสม (Multi-media presentation)
เป็นการเสนอสื่อประเภทฉาย เช่นสไลด์
ภาพยนตร์ควบคู่กับสื่อเสียง
ความจำเป็นและบทบาทของสื่อประสม
1. ช่วยให้ผู้เรียนสามารถรู้เนื้อหาต่าง ๆ
ได้ดีเกือบทุกเรื่องจากแหล่งหลายแหล่ง
โดยถือว่าสื่อแต่ละอย่างมีเนื้อหาและรูปแบบแตกต่างกัน
2. ช่วยประหยัดเวลาทั้งผู้สอนและผู้เรียน
3. ช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้
ตามความสามารถและความพร้อมของแต่ละบุคคล
4. ช่วยดึงดูดความสนใจ
เพราะสื่อประสมจะเป็นการผสมผสานกันของสื่อที่มีการนำเอาเทคนิคการผลิตแบบต่างๆ
มาใช้ทำให้น่าสนใจ
การเลือกสื่อประสม
สื่อที่เรานำมาใช้ในชุดสื่อการสอนแบบสื่อประสมมักจะประกอบด้วย เอกสารการสอน แผนภูมิ หุ่นจำลอง ชุดแผ่นโปร่งใส สไลด์และเทปเสียง บทเรียนสำเร็จรูป ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ ชุดบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งสื่อแต่ละประเภทจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป จะทำให้เกิดการเรียนรู้ตามพัฒนาการเรียนรู้ของกลุ่มหรือของแต่ละบุคคล ที่แน่นอนคือสื่อประสมหลายอย่าง ย่อมช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพมากกว่าสื่อประเภทเดียว
การประยุกต์ใช้สื่อประสม (Multimedia Appllcation)
ปกติการนำเสนอสื่อประสม ถ้าจะบรรจุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะใช้สื่อประเภทเดียว (Conventional Use) แต่เราอาจจะใช้สื่อหลายประเภทก็ได้ (MuttimediaUses) เช่น ใช้ภาพกราฟิกในรูปของสไลด์แสดงถึงหลักการแล้วต่อมาฉายเป็นภาพยนตร์สั้นๆเพื่อแสดงการประยุกต์ของหลักการนั้นๆ โดยบทสรุปอาจจะใช้แผ่นโปร่งใสข้ามศรีษะเหล่านี้เรียกว่าเป็นการนำไปใช้ (Appllcations)
การใช้กับกลุ่มผู้เรียนจำนวนมาก (Group Uses) อาจใช้สื่อหลายแบบผสมกัน ได้แก่สไลด์ แผ่นโปร่งใส ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ เครื่องเล่นเทปเสียง โดยเราจะต้องคำนึงถึงขั้นตอนการเตรียมการอันหมายถึง การสร้างวัตถุประสงค์ การเลือกเนื้อหา ให้สนองวัตถุประสงค์ การจัดเรียงลำดับภาพและบทสคริปท์ท้ายสุดก็คือ การจัดหาบุคลากรในการช่วยวางแผน และดำเนินการตามโปรแกรมที่วางไว้
การใช้สื่อประสมเพื่อการเรียนรู้เป็นรายบุคคล (Indivldual Use)
การเรียนตามระดับความสามารถหรือความสนใจของผู้เรียน
โดยศึกษาจากสื่อประสมภายในกล่อง (Package) ซึ่งประกอบด้วย
1. ข้อมูลความรู้ต่าง ๆ
2. บอกถึงขึ้นตอนลำดับของการศึกษา
หรือบอกถึงเนื้อหาตามลำดับขั้นซึ่งผู้เรียนจะสามารถเลือกหัวข้อที่จะศึกษาเองตามวิธีการเรียนของแต่ละบุคคล
3. ผู้สอนไม่เพียรแต่ต้องตระเตรียมหัวข้อต่าง ๆ
แต่ยังรวบรวมเนื้อหาสาระต่าง ๆ ที่เหมาะสมด้วย
เนื่องจากการจัดทำสื่อประสมสามารถจัดทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่แบบง่ายที่สุดจนไปถึงแบบที่มีความซับซ้อนที่ใช้สื่อประเภทวัสดุ กับประเภทเสียงเพียง 2 อย่าง หรือมากกว่า 2 อย่างขึ้นไป และได้รับการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในรูปแบบความสามารถหรือศักยภาพองสื่อ และการนำมาประยุกต์ใช้อย่างมากมาย อันเป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน รวมทั้งวงการอื่น ๆ ก็ยังสนใจนำไปใช้ประโยชน์อย่างมากมาย เช่นวงการบันเทิง การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ทั้งหมดเป็นแนวความคิดเกี่ยวกับสื่อมัลติมิเดีย ในยุคเดิมที่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาททางการศึกษาไม่มากนัก แต่สามารถช่วยให้การเรียนการสอนประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้สื่อมัลติมีเดียแบบเดิม
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในวงการศึกษา
ในทางการศึกษายุคปัจจุบัน และอนาคตบทบาทของครูผู้สอนที่ทำหน้าที่สอนในห้องเรียนเหมือนในสมัยก่อนจะลดบทบาทไป แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคอยให้คำแนะนำกับผู้เรียนในการเรียนรู้ ตลอดจนการแก้ปัญหาให้ผู้เรียนในบางครั้ง การเรียนการสอนแบบเอกัตบุคคล (INDIVEDUALIZAED INSTRUCTION) ที่พึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการฝึกอบรมต่างๆ การจัดโปรแกรมการฝึกอบรมรายกลุ่มแบบปกติ จะลดบทบาทลงการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะช่วยสนับสนุนการฝึกอบรมเป็นรายบุคคลที่เน้นถึงความสามารถเฉพาะตัวจะเข้ามาแทนที่โดยเริ่มทีละน้อยๆ จนครบกระบวนการในที่สุด เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์เริ่มมาจากการคิดค้นวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาจึงไม่แปลอะไรที่นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้กับวงการศึกษาในทุกสาขาวิชาทั้งที่ใช้ในงานวิจัยการพัฒนาการเรียนการสอน รวมทั้งการบริการ การจัดการศึกษาและการบริการทางวิชาการ
การใช้คอมพิวเตอร์กับการเรียนการสอน
สามารถแบ่งออกได้หลายลักษณะ
1. สอนเนื้อหาวิชาคอมพิวเตอร์ (Computer Literacy)
ซึ่งอาจแบ่งเป็นรายวิชาต่างๆ
กันตามลักษณะของผู้เรียนที่จะนำไปใช้งาน
2. ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน :CAI (Computer-Assisted
Instruction) มีลักษณะเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนสำเร็จรูป
เนื้อหาเรื่องราวเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์
(Interactive) ระหว่างนักเรียนกับคอมพิวเตอร์
โดยเน้นการเรียนเป็นรายบุคคลศึกษาด้วยตนเอง
3. ใช้จัดระบบการเรียนการสอน (Computer-Managed Instruction : CMI)
เป็นการนำคอมพิวเตอร์เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับลักษณะและพฤติกรรมของนักเรียน
ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
โดยจัดโปรแกรมให้สอดคล้องกับผู้เรียน
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถและความถนัดของตน
การใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนการสอน
มีประโยชน์สำคัญ ๆ หลายประการ คือ
1. ทำให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนการสอนมากขึ้น
ทำให้มีความสนใจและกระตือรือร้นมากขึ้นดังจะเห็นได้จากการมีมักจะมีนักศึกษาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่จนมืดค่ำ
ในสถานศึกษาต่างๆ
2. ทำให้นักศึกษาสามารถเลือกบทเรียนและวิธีการเรียนได้หลายแบบ
ทำให้ไม่เบื่อหน่าย เช่น
ถ้าเบื่ออ่านหรือฟังคำบรรยายก็เปลี่ยนเป็นเล่นเกมส์
หรือเล่นโปรแกรมอย่างอื่นได้
3. ทำให้ไม่เหลืองสมองในการสท่องจำสิ่งที่ไม่ควรจะต้องท่องจำ
4.
ทำให้สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับความต้องการของนักศึกษาแต่ละคน
5.
ทำให้นักศึกษามีอิสระในการที่จะเรียนไม่ต้องคอยเวียนแวะแนะนัดกับเพื่อนร่วมชั้นและครูอาจารย์จะเรียนกับคอมพิวเตอร์เมื่อไรก็ทำได้อย่างอิสระ
6. ทำให้นักศึกษาสามารถสรุปหลักการ
เพื่อหาสาระของบทเรียนแต่ละบทได้สะดวกเร็วขึ้น
7. ทำให้นักศึกษาได้ฝึกความรับผิดชอบต่อตนเองในการเรียนรู้
8. ทำให้นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น จากการวิจัยของบริษัท
IBM ที่กระทำกับผู้เข้าฝึกอบรมด้วยบทเรียนช่วยสอนด้วยคอมพิวเตอร์
เมื่อเปรียบเทียบกับโปรแกรมการฝึกอบรมแบบปกติ เมื่อปี พ.ศ. 2503
ในสหรัฐอเมริกา
พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของกลุ่มที่ใช้บทเรียนช่วยสอนด้วยคอมพิวเตอร์สูงกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง
10%
ความหมายของ CAI (COMPUTER-ASSISTED INSTRUCTION)
สื่อมัลติเดียที่ถูกสร้างขี้นจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นำมาใช้การเรียนการสอน
CAI (CAI,Computer-Assisted Indtruction) แต่ปัจจุบันมีผู้นิยมคำว่า
CBT (Computer Based Teaching หรือComputer Based Training) มากกว่า
คำใหม่นี้ถ้าแปลตามตัวก็คงหมายถึง การสอนหรือการฝึกอบรมโดย
ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลักนอกจากนี้ในอเมริกาก็ยังมีคำนิยมใช้กันอีกคำหนึ่ง
คือCMI (Compuyter Managed Instruction)
หมายถึงการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการให้
ส่วนในยุโรปมักจะใช้คำแตกต่างจากในอเมริกันในยุโรปในปัจจุบันคือ CBE
(Computer Based Education)
หมายถึงการศึกษาโดยอาศัยคอมพิวเตอร์เป็นหลักนอกจากนี้ก็มีอีกสองคำที่แพร่หลายเช่นกัน
คือ CAL (Computer assisted Learning) และ CML (Computer Manager
Learlming) เป็นการเรียน (Learning) สำหรับในประเทศไทยนั้น
ผู้ที่เกี่ยวข้องมักนิยมใช้คำว่า CAI มากกว่า CBT หรือคำอื่น ๆ
ส่วนในภาษาไทยนั้นจะใช้แตกต่างกันไป เช่น ใช้คำว่าบทเรียน CAI ตรงตัว
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนช่วยสอนด้วยคอมพิวเตอร์
บทเรียนสำเร็จรูปด้วยคอมพิวเตอร์
โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์คุณสมบัติของ CAI
(COMPUTER-ASSISTED INSTRUCTION)
การใช้งานของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนส่วนใหญ่จะหนักไปทางการเรียนด้วยตนเองมากกว่า
แม้ว่าจะชื่อบทเรียนช่วยสอนก็ตาม กล่าวคือผู้เรียนจะเป็นผู้ใช้บทเรียน
CAI หรือผู้เข้าฝึกอบรมจะใช้เป็นบทเรียน CBT แนวคิดของ CAI
เกิดขึ้นจากนักเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ประยุกต์เข้ากับการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาโดยแท้จริงแล้วพื้นฐานของ
CAI ก็คือ เครื่องช่วยสอน (Teaching Machine)
การมีเครื่องช่วยสอนทำให้ต้องมีโปรแกรมที่เป็นเนื้อหาแบบฝึกหัด
และข้อทดสอบ ที่จะใช้กับเครื่องช่วยสอน
ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ก็มีการใช้บทเรียนสำเร็จรูปต่างๆ เช่น บทเรียนโปรแกรม (Program
Instruction) บทเรียนโมดูล (Module Instruction)
ชุดการเรียนการสอนสำเร็จรูป(IMP lnstruction package) เป็นต้น
โดยเป็นความพยายามที่จะหาวิธีที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ด้วนตนเอง
ตามความสามารถของตน
จะใช้เวลามากน้อยต่างกันอย่างไรไม่ว่าจึงเกิดการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเหล่านี้ขึ้นโดยแทนที่จะใช้เครื่องช่วยสอนเป็นตัวเสนอเนื้อหา
ก็ใช้หนังสือ (Programmed Text)
เป็นตัวเสนอเนื้อหาโดยออกแบบวิธีการเสนอเนื้อหาให้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน
ใช้เทคนิคของการเสริมแรงและหลักการทางจิตวิทยาการเรียนรู้หลาย ๆ
อย่างมาประกอบกันอย่างเป็นระบบอย่างไรก็ตามจุดอ่อนของบทเรียนสำเร็จรูปเหล่านี้ก็คือ
ความน่าเบื่อหน่ายซึ่งเกิดจากความจำกัดของกิจกรรมความจำกัดของสื่อที่นำมาใช้
ความจำเจ
อันเกิดจากการอ่านเพียงอย่างเดียวการต้องเปิดหน้าหนังสือกับไปกลับมา
ความจำเจที่สุดได้แก่
ความยากในการสร้างที่จะทำให้เกิดบทเรียนสำเร็จรูปที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะต้องใช้เวลาในการพัฒนา
ในด้านของการควบคุมผู้เรียน
ขณะใช้งานก็เป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งทั้งนี้เนื่องจากผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบที่ดีจึงจะใช้บทเรียนสำเร็จรูปดังกล่าวได้ผลเมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาขึ้น
ทำให้นักการศึกษาหันไปมองหาวิธีการขจัดปัญหาต่างๆ
ดังกล่าวโดยการใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวนำเสนอเนื้อหาแทนบทเรียนสำเร็จรูปซึ่งการใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวเสนอเนื้อหาทำให้ได้เปรียบบทเรียนสำเร็จรูปในด้านต่าง
ๆ เหล่านี้
1. เสนอเนื้อหาได้รวดเร็วฉับไว
แทนที่ผู้เรียนจะต้องเปิดหนังสือบทเรียนสำเร็จรูปทีละหน้าหรือทีละหลาย
ๆ หน้า
ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ก็เพียงแต่กดแป้นพิมพ์ครั้งเดียวเท่านั้น
2. คอมพิวเตอร์สามารถเสนอรูปภาพท่เคลื่อนไหวได้
ซึ่งมีประโยชน์มากในการเรียนสังกัป (Concept)
ที่สลับซับซ้อนหรือเหตุการณ์ต่างๆ
3. มีเสียงประกอบได้ ทำให้เกิดความน่าสนใจ
และเพิ่มศักยภาพทางด้านการเรียนภาษาได้อีกมาก
4. สามารถเก็บข้อมูลเนื้อหาได้มากว่าหนังสือหลายเท่า
5. ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนอย่างแท้จริง
กล่าวคือมีการโต้ตอบระหว่างบทเรียนกับผู้เรียนได้ สิ่งนี้ทำให้ CAI
สามารถควบคุมผู้เรียนหรือช่วยเหลือผู้เรียนได้มากในขณะที่บทเรียนโปรแกรม
(Program Instruction) ไปได้ แต่ CAI
ผู้เรียนจะทำอย่างนั้นไม่ได้
6. CAI สามารถบันทึกผลการเรียน ประเมินผลการเรียน
และประเมินผลผู้เรียนได้ ในขณะที่บทเรียนโปรแกรมทำไม่ได้
ผู้เรียนต้องเป็นผู้ประเมินผลตัวเอง
7. สามารถนำติดตัวไปเรียนในสถานที่ต่าง ๆ
ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่
8. เหมาะสำหรับการเรียนการสอนผ่านการสื่อสาร เช่น
การจัดการศึกษาทางไกล (Distance Leaming) ผ่านทางดาวเทียม
หรือการสื่อสารอย่างอื่น
CAI ไม่ใช่บทเรียนโปรแกรมที่นำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์จึงไม่ใช่บทเรียนสำเร็จรูปหรือบทเรียนโปรแกรมใดๆ ที่นำเสนอเนื้อหาออกจอภาพทีละหน้า ๆ จนครบบทเรียน โดยที่ผู้เรียนทำหน้าที่แต่เพียงกดแป้นพิมพ์เพื่อเปลี่ยนเนื้อหาไปที่ละหน้าเท่านั้น แม้ว่าบทเรียน CAI จะได้แนวความคิดมาจาก บทเรียนโปรแกรม (Program Instruction) ก็ตามแต่ CAI สามารถทำในสิ่งที่บทเรียนโปรแกรมทำไม่ได้ในหลาย ๆ ประการ ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนของบทเรียน CAI จึงแตกต่างกับบทเรียนโปรแกรมหรือบทเรียนสำเร็จรูปต่างๆ โดยการออกการเรียนการสอนของ CAI จะพยายามใช้คุณสมบัติพิเศษ (Attribute) ของคอมพิวเตอร์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อลักษณะเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ส่วนหนึ่งได้แก่ การเสนอภาพที่เคลื่อนไหวได้ การสร้างเสียงประกอบ และส่วนที่สำคัญได้แก่การโต้ตอบได้ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียน แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive)
คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย (MULTI MEDIA COMPUTER)
ความสามารถของไมโครคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ได้หลายระบบ ไม่ว่าจะใช้ในลักษณะที่เป็นเครื่องเดียวหรือติดตั้งในลักษณะที่เป็นเครือข่าวคอมพิวเตอร์ เมื่อเปรียบเทียบการติดตั้งระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์และเครื่องขนาดใหญ่อย่างมินิหรือเมนเฟรมแล้วการลงทุนด้วยไมโครคอมพิวเตอร์จะมีข้อได้เปรียบมากกว่า ทั้งในแง่ของการลงทุน การนำไปใช้ การบำรุงรักษา และอื่น ๆ ความสามารถในการสื่อต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันสามารถที่จะผสมผสานสื่อต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ กราฟิค ภาพเคลื่อนไหว ทำให้มีการประยุกต์ใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น ระบบคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียนับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การสื่อความหมายต่าง ๆ ด้วยคอมพิวเตอร์ ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ว่าต้องเป็นข้อความ อาจจะมีการสื่อสารด้วยเสียง ภาพยนตร์และข้อความรวมกัน ผลที่ได้คือการสื่อความหมายที่ชัดเจนมากกว่า มัลติมีเดียจึงมีความเป็นไปได้อย่างดียิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงข้อมูล การสื่อสารการฝึกอบรม การเรียนการสอน หรือแม้แต่ในงานที่เกี่ยวกับความบันเทิงหรือการโโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การศึกษาเรื่องมัลติมีเดียจึงนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากเนื่องจากแนวโน้มการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟแวร์ในอนาคตจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันมัลติมีเดียอย่างเห็นได้ชัดเจน
การที่จะให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียนั้น อาจจะทำให้เกิดความสับสนได้เนื่องจากผู้ให้คำตอบในส่วนที่ตัวเองคุ้นเคย อย่างผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานเกี่ยวกับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารกับคนที่ทำงานพิมพ์รายงาน อาจให้คำตอบที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม อาจจะมองได้คร่าว ๆ ว่า คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเป็นการนำคอมพิวเตอร์มาควบคุมสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ทำงานร่วมกันในลักษณะของการผสมผสานอย่างเป็นระบบ เช่น อาจสร้างโปรแกรมให้มีการนำเสนองานที่เป็นข้อความ มีการเคลื่อนไหวจากวิดีโอประกอบ หรือมีเสียงบรรยายสลับกันไป สี่อที่จะเข้าร่วมในระบบมัลติมีเดียอาจจะเป็นทั้งสัญญาเสียงและสัญญาณภาพโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมการทำงาน คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ให้เป็นอุปกรณ์ที่มีขีดความสามารถสูงสามารถใช้ในงานต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย
มัลติมีเดียสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์และผู้ใช้ได้ในหลาย ๆ กรณีถ้าพิจารณาเปรียบเทียบกับการใช้คอมพิวเตอร์แบบเก่าที่เป็ระบบข้อความ สิ่งหนึ่งที่จำกัดการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์คือทุกคนที่ใช้จะต้องใช้คีย์บอร์ดเป็น ไม่เช่นนั้นก็จะใช้ไม่ได้ คนที่พิมพ์ดีดเป็น อาจจะเป็นคนแรกที่ใช้เครื่องได้สะดวกกว่าการออกแบบแอพพลิเคชั่นใช้งาน ผู้ออกแบบจะออกแบบพื้นฐานที่ว่าผู้ใช้มีความสามารถในการใช้คีย์บอร์ดอยู่แล้วซึ่งไม่เป็นจริงเสมอไป ดังนั้นการใช้งานแอพพลิเคชั่นนั้นจะเกิดปัญหาสำหรับคนส่วนหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาในการศึกษาพื้นฐานในการใช้เครื่อง การออกแบบโปรแกรมในลักษณะมัลติมีเดีย สามารถออกแบบให้ใช้สื่อได้หลากหลาย เช่น จอระบบสัมผัสที่ไม่มีความจำเป็นการใช้คีย์บอร์ดอีกต่อไป เพียงแต่สัมผัสบริเวณของจอภาพเพื่อเลือกหัวข้อที่จะทำงานเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามความต้องการใช้คีย์บอร์ดก็ยังคงมีอยู่ แต่คีย์บอร์ดไม่ได้เหมาะสมกับงานบางอย่าง เช่น การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นตู้ข่าวสารในศูนย์การค้า เป็นต้น นอกจากนี้ความสามารถในการเอาสื่อไม่ว่า เป็นภาพ เสียง วีดีโอ ภาพเคลื่อนไหวเข้าไปช่วยการให้ข้อมูล ก็เป็นการพัฒนาวิธีการสื่อสารระหว่างมนุษย์และคอมพิวเตอร์ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นอกเหนือจากที่เป็นการติดต่อโดยการใช้แต่ข้อความเพียงอย่างเดียวการที่ระบบมัลติมีเดียสามารถที่จะนำสื่อต่าง ๆ มาใช้ร่วมกันได้ ทำให้รูปแบบการติดต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และมนุษย์เป็นไปตามธรรมชาติที่ใช้ในการสื่อสารกันมากที่สุด โดยเป็นการเพิ่มความชัดเจนของข่าวสารและความเข้าใจในการสื่อสารความหมายได้ดียิ่งึ้น การโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์จึงเป็นไปอย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ
ถ้าจะพิจารณาภาพรวมจะพบว่า ระบบคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์มากขี้น เป็นการขยายความสามารถในการสื่อสารขึ้นอย่างมากมาย ระบบคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียจึงมีบทบาทมากไม่ว่าในงานด้านการศึกษา หรือทางธุรกิจ
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย
1.
เทคโนโลยีในการบันทึกข้อมูล
การทำงานของมัลติมีเดียประกอบไปด้วยภาพและเสียง
การบันทึกภาพไว้ในคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองหน่วยความจำเป็นอย่างมาก
ตัวอย่าง เช่น ถ้าต้องการเก็บภาพขนาด 720 + 485 ชุด
ด้วยความละเอียดของภาพเป็น 22 บิทต่อจุด
หมายความว่าการเก็บภาพเดียวไว้จะต้องใช้เนื้อที่ของฮาร์ดดิสถึง
960,300 ไบท์ แต่ถ้าจะเก็บภาพเคลื่อนไหวประกอบด้วยภาพเป็นแฟรม อาจเป็น
30 แฟรมต่อวินาที
หมายความว่าการเก็บภาพวีดีโอเพียรหนึ่งวินาทีลงในฮาร์ดดิสก็ต้องใช้เนื้อที่ฮาร์ดดิสมากกว่า
30 เมกกะไบท์ การบันทึกเสียงลงดิสก์นั้นกินเนื้อที่น้อยกว่า เช่น
การบันทึกในระบบสเตอริโอลงดิสก์ในเวลาหนึ่งวินาทีใช้เนื้อที่ดิสก์เพียง
44 กิโลไบท์ แต่อย่างไรก็ตามในการทำงานจริง
ผู้สร้างไม่ได้บันทึกภาพหรือเสียงไว้เพียงแต่หนึ่งวินาที
ดังนั้นความจุของสื่อเก็บข้อมูลจึงเป็นข้อจำกัดในการพัฒนามัลติมีเดีย
เพราะต้องการสื่อที่มีคุณภาพสูงแต่ราคาย่อมสูงตาม
การแก้ปัญหาของหน่วยเก็บข้อมูลที่ต้องมีขนาดใหญ่และราคาถูกนั้น
ได้แก้ไขด้วยการนำเอาเทคโนโลยีทางการบันทึกข้อมูลด้วยแสงเข้ามาใช้
(Optical Technology) ก็คือพัฒนา CD-ROM
ซึ่งกำลังมีบทบาทอย่างมากในระบบมัลติมีเดียในปัจจุบัน
2.
เทคโนโลยีการย่อขนาดข้อมูล
การย่อข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเพราะถ้าเก็บภาพจากจอที่มีความละเอียด
1024 + 768 จุด โดยที่ไม่มีการย่อขนาดข้อมูล
ก็จะกินเนื้อที่ดิสก็มากกว่า 1 เมกะไบท์
ยิ่งถ้าเป็นการเก็บในลักษณะเป็นวิดีโอในหนึ่งวินาทีที่มีความเร็ว 30
เฟรม อาจใช้เนื้อที่มากกว่า 80 เมกกะไบท์
ดังนั้นการย่อขนาดแฟ้มข้อมูลจึงมีความจำเป็นมากที่จะต้องมีการลดขนาดของข้อมูลให้ลดลงมากที่สุด
โดยยังคงความสมบูรณ์ถูกต้องของเนื้อหาไว้ ในระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย
การใช้มัลติมีเดียอาจไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความจุของหน่วยเก็บข้อมูลเพราะในระบบนี้อาจมีหน่วยเก็บข้อมูลขนาดใหญ่
แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือความสามารถของระบบ
ในการที่จะขนส่งข้อมูลผ่านระบบสายเคเบิล เช่น ระบบสายเคเบิลที่เป็นสาย
Coaxial ถ้าต้องใช้การขนส่งข้อมูล 80 เมกกะไบท์
อาจต้องใช้เวลาหลายนาที
ดังนั้นถ้าเทคโนโลยีการลดขนาดข้อมูลมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นการสื่อความหมายของมัลติมีเดียกับคอมพิวเตอร์ระบบใด ๆ
ก็จะมี่ประสิทธิภาพตามไปด้วย
3.
เทคโนโลยีไมโครคอมพิวเตอร์
การทำงานของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเป็นการทำงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในปริมาณมหาศาลกระบวนการย่อและขยายขนาดข้อมูล
จะต้องเกิดอย่างรวดเร็วมากพอที่จะทำให้การติดต่อส่งข้อมูลระหว่างหน่วยความจำและอุปกรณ์ต่าง
ๆ ไม่เกิดการหยุดชะงักหรือล่าช้า
เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะทำให้การแสดงผลทั้งภาพและเสียงผิดพลาดไปจากที่เกิดจริง
ในขณะเดียวกันการใช้ CD-ROM ก็คือความเร็วซึ่งช้ากว่าฮาร์ดดิสก์มาก
จึงมีปัญหาในการที่จะส่งข้อมูลให้กับหน่วยความจำที่ไม่เร็วพอการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยความเร็วสูงจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
การพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ PENTIUM
จึงมีบทบาทสำคัญที่ทำให้การพัฒนาระบบมัลติมีเดียประสบความสำเร็จ
4.เทคโนโลยีภาพ
จอภาพที่เป็นสีจอแรกที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่าจอ CGA
นั้นให้ความละเอียดในการแสดงผลเพียง 320 + 200 จุด
ในปัจจุบันการพัฒนาจอ Super VGA
สามารถทำให้ได้ความละเอียดของภาพได้ถึง 1024 + 768 จุด และให้สีได้ถึง
16.7 ล้านสี ระบบมัลติมีเดียจะยิ่งเร้าความสนใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ถ้าเทคโนโลยีจอภาพคอมพิวเตอร์สามารถสร้างภาพได้คมชัดมากขึ้นและเป็นสีธรรมชาติมากขึ้น
ถ้าเทคโนโลยีจอภาพของ HDTV
พัฒนาได้สมบูรณ์ถึงระดับและมีการพัฒนาเป็นจอภาพ Monitor
ของระบบคอมพิวเตอร์แล้วระบบมัลติมีเดียจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
นอกเหนือจากเทคโนโลยีจอภาพอื่น ๆ ที่ได้พัฒนาในปัจจุบัน เช่น
Touch-Screen Monitor
5.
เทคโนโลยีอุปกรณ์ป้อนข้อมูล
การติดต่อกับคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้เดิม
ทำได้โดยการป้อนคำสั่งผ่านคีย์บอร์ด
ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพียงอย่างเดียว การพัฒนาเมาส์
จอระบบสัมผัสทำให้การติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างสะดวกและง่ายขึ้น
6. เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย
สิ่งที่ระบบคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเข้าไปมีบทบาทร่วมกับระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย
ได้แก่การติดต่อสื่อสาร Electronics Mail
ซึ่งเดิมเป็นการติดต่อที่เป็นลักษณะ Text Base
เท่านั้นนับว่าเป็นการนำเอาสองเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกันทำให้การติดต่อสื่อสารในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ทำได้ทั้งที่เป็นภาพและเสียง
การใช้งานระบบมัลติมีเดียจะเข้าหามวลชนมากขึ้น
ถ้าเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์พัฒนาถึงระดับเนื่องจากสามารถกระจายได้หลาย
ๆ จุดในเวลาเดียวกัน
7. เทคโนโลยีซอฟท์แวร์
สิ่งที่ทำให้โลกของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเป็นจริงขึ้นมาส่วนหนึ่งก็คือ
การพัฒนาของซอฟท์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง
และมีการใช้งานได้ง่ายขึ้นและประการสำคัญที่สุดก็คือความเหมาะสมกับเนื่อหาหรือข้อมูลที่จะนำเสนออีกทั้งยังจะต้องมีความอ่อนตัวในการประยุกต์เข้ากับส่วนอื่น
ๆ ของระบบ
ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตได้มีการตื่นตัวอย่างสูงในการพัฒนาซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์สำหรับการสร้างสรรค์งานมัลติมีเดีย
เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องได้เล็กเห็นถึงความเป็นธรรมชาติในการสื่อความหมายของระบบมัลติมีเดียและแนวโน้มของการพัฒนาต่อไป
8. เทคโนโลยีการสื่อความหมาย
ข้อมูลนำเสนอและวิธีการ
สิ่งนี้นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในระดับต้นที่จะทำให้ระบบมัลติมีเดียสมบูรณ์
เพราะถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียจะพัฒนาเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านก็ตาม
แต่ถ้าขาดข้อมูลนำเสนอที่ดี
วิธีการนำเสนอที่ไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายตลอดจนไม่ได้พิจารณาถึงการใช้เทคโนโลยีการสื่อความหมายที่ดีแล้ว
ระบบมัลติมีเดียที่ได้พัฒนานั้นก็จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ผู้สร้างสรรค์ระบบมัลติมีเดียจึงควรจะต้องพิจารณาเทคโนโลยีด้านนี้ด้วยเป็นประการแรก
ขอบคุณนะคะ ดีมากคะ ถึงจะยาวไปหน่อย แต่เนื้อหาบางส่วนก็ทำให้หนูมีงานส่งอาจารย์คะ หวังว่าคงไม่ว่านะคะ