ปัจจุบันการที่แต่ละหมู่บ้านอยากได้อะไร ก้ต้องอาศัยกระบวนการมีสส่วนร่วมโดยจัดทำเวทีประชาคมหมู่บ้านก่อน แต่เวทีประชาคมแต่ละหมู่บ้านมีความเข้มแข็งไม่เท่ากัน
เมื่อมีเวทีก็จะมีคนเสนอความคิดเห็น แต่ก็ต้องเข้าใจรูปแบบการเข้าร่วมประชุมของชาวบ้านคือ คนไหนที่ออกเสียงก็จะเป็นคนเดิมตลอด คนที่มาเพื่อรับฟังมีมากกว่า อันนี้ต้องทำใหเกิดคิดอย่างมีส่วนร่วม
เรื่องต่อมาหลังากได้ปัญหาของหมู่บ้านต้องมา ให้นำหนักของปัญหาอีกว่าอัไหนคิดว่าสำคัญสุด
จากนั้นก็เอาเสนอแผนชุมชนเข้าไปสภา องค์การบริหารส่วนตำบล ก็ต้องมีการนำเสนอ ผู้ที่นำเสนอคือสมาชิกอบต.ของแต่ละหมู่บ้าน แต่การเสนอจะเป็นไปตามแผนชุมชนหรือไม่ไม่มีใครรู้ก่อนได้ ปัญหาคือ ไม่ได้เสนอตามแผนซักเท่าไร เลยทำให้คนทำแผนมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำแผนอีกต่อไป
อันนี้เป็นส่วนของแผนชุมชน
ต่อมาในเรื่องของงบประมาณ ที่จัดสรรสำหรับกลุ่มต่างๆมีการจัดสรรงบประมาณให้ตามกำลังที่ อบต.ทำได้
ส่วนเรื่องเครือข่ายกองทุนระดับตำบล มีการดำเนินการของบประมาณเพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทุนขอไป 10,000 บาทต่อปี ก็อนุมัติ แต่ติดตรงที่ ในความคิดของ อบต. เห็นว่า 1)ความเข้มแข็งและเป็นรูปธรรมของเครือข่ายยังไม่มี 2)กองทุนก็มีเงิน ทำไมไมจัดทำกันเอง โดยเอาเงินนี้มาบริหาร
มาถึงตรงนี้เลยคิดเองว่า หากเครือข่ายของตำบลมีความเป็นกลุ่มก้อนเหนียวแน่นคงจะเกิดกิจกรรมมากมาย เงินทองคงจะไหลมาเทมาเปนแน่แท้ แต่จะทอย่างไร ให้ทุกคนลดอัตตา เข้ามามีส่วนร่วม ไม่แข่งขันแบบเหยียบยำเพื่อชิงดี แต่แข่งกันช่วยเหลือคนไหนล้มก็ถูลากถูกังกันไป
แล้วะทำอย่างไร ????????????????????????????????????????????????????????
เห็นด้วยว่าเวทีประชาคมเป็นเพียงโครงสร้างการมีส่วนร่วมซึ่งต้องเข้าไปสร้างกระบวนการให้เกิดการมีส่วนร่วมที่แท้จริง
บทบาทหลักควรเป็นของอบต.กลุ่มองค์กรในชุมชน
และหน่วยงานภาครัฐ เครือข่ายกองทุนหมู่บ้านก็น่าจะเป็นกลไกหนึ่ง
ถ้าเข้มแข็งคือกลุ่มมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็จะพัฒนากรรมการและสมาชิกให้เข้ามามีส่วนร่วม
เริ่มจากกลุ่มและเข้าสู่เวทีประชาคมหมู่บ้าน,ตำบล
การจัดการความรู้มุ่งหวังจะเข้าไปสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับกรรมการเครือข่าย
กรรมการกลุ่ม และสมาชิก
อ.เบียร์และทีมวิชาการเป็นผู้ช่วยสำคัญครับ