แนวความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับสิทธิครอบครองตามกฎหมายโรมัน
--------------------------------------------------------------------------------
ความหมายของ Possessio (ครอบครอง) ตามรากศัพท์ : ทฤษฎีต่าง ๆ[1]
--------------------------------------------------------------------------------
ตามรากศัพท์ possessio อาจมาจากหลายแหล่งด้วยกัน ทฤษฎีสำคัญมีดังนี้
1. Schulz[2] สรุปว่า คำกริยาว่า possessio คือ possidere ซึ่งประกอบด้วย sedere (นั่ง) ส่วน pos ข้างหน้านั้น ซึ่ง possidere น่าจะแปลว่านั่งอยู่บนสิ่งของอย่างหนึ่ง (sit upon a thing) ฉะนั้น possessio น่าจะแปลว่าการนั่ง (sitting) และpossessor น่าจะแปลว่าผู้ซึ่งมีหลักแหล่งหรือตั้งรกรากอยู่กับสิ่งของหรือทรัพย์อย่างหนึ่ง(a person settled upon a thing) ศัพท์เหล่านี้แต่เดิมใช้กับที่ดินเท่านั้นและแม้กฎหมาย 12 โต๊ะหรือแผ่นก็มิได้นำศัพท์เหล่านี้มาใช้กับสังหาริมทรัพย์เลย
2. Accarias[3] เห็นว่า possessio มาจาก posse อันเป็นการแนะ (éveille) เหนือสิ่งอื่นใดว่าบุคคลอยู่ในสภาวะของการสัมผัสทางกายภาพกับ (en contact matéiel avec) ทรัพย์ โดยรากศัพท์นี้แสดงออกถึงการที่บุคคลเก็บรักษาหรือถือครอง (le fait de détenir) ทรัพย์ไว้และมีทรัพย์นั้นไว้ในเงื้อมมือของเขา (l't avoir physiquement a sa disposition)
3. Lepointe[4] ให้ความเห็นว่า possessio มาจากรากศัพท์สำคัญ 2 ด้านคือ pot เหมือนใน potestas อันแสดงถึงอำนาจ ส่วน sessio นั้นมาจาก sedere (นั่ง) อันทำให้นึกถึง (évoquant) การถือครอง (detention) และการสัมผัส (contact) โดยอ้างว่า Labeo ผู้ก่อตั้งสำนักนิติศาสตร์โพรคิวเลียนในยุคทองนำ possessio ไปสัมพันธ์กับ a pedibus (บนเท้า) Lepointe เห็นว่า possessio เป็นอำนาจในทางพฤตินัย (pouvoir de fait) เหนือทรัพย์อันมีลักษณะการแสดงออกภายนอก (extérieurement) เหมือนกรรมสิทธิ์ โดยเหตุนี้คนทั่วไปจึงมีความสับสนระหว่างการครอบครองและกรรมสิทธิ์และ Pompeius Festus (นักไวยากรณ์ละตินในคริสต์ศตวรรษที่ 4)ได้ตั้งข้อสังเกตุว้ว่ามีความสับสนเกิดขึ้นในการใช้ศัพท์เพื่อกล่าวถึงการครอบครองและกรรมสิทธิ์ (confusion de terminologie)
4. Guarino[5] เห็นว่า posessio มาจาก sedere อันแสดงถึงการยืนยันว่าผู้ครอบครองเป็นเจ้าของ (padrone) ทรัพย์ พร้อมทั้งมีอำนาจ (potis) เหนือผู้อื่นเกี่ยวกับทรัพย์นี้ เพราะทรัพย์นี้อยู่ในเงื้อมมือ (disponibilita) ของเขา นับเป็นแนวคิดที่ใกล้เคียงกับแนวที่ 2
5. Monier[6] เห็นว่า possidereมาจาก potis อันแปลว่าผู้ทรงกรรมสิทธิ์ซึ่งใช้อำนาจ (maître, qui exerce la puissance) และ sedeo (นั่ง) เขาเห็นว่า possidere ในชั้นแรกนั้นใช้กับการครอบครองที่ดินแต่นับแต่สมัยของกวี plautus (ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล) เป็นต้นมาก็ใช้ในความหมายที่กว้างขวางขึ้น คือ ไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่ดินแต่เพียงอย่างเดียว
คำนิยามที่กล่าวมาในเบื้องต้น จะไม่มีความชัดเจนในความหมายของ possessio แต่ก็ทำให้เกิดความชัดเจนในลักษณะของ possessio ได้พอสมควร
------------------------------------------
ลักษณะของ Possessio (ครอบครอง)
------------------------------------------
โดยเหตุที่ชาวโรมันเป็นนักปฎิบัติ จึงไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับเรื่องคำนิยามแต่สนใจกับวิธีการได้มาซึ่งการครอบครอง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการนิยามความหมายเอาไว้ แต่ชาวโรมันให้ความสนใจเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และความครอบครองมากกว่าโดยได้กำหนดถึงวิธีการที่จะได้มาไว้มากมายอันเป็นสาระสำคัญของกฎหมายทรัพย์สินโรมัน
1. หลักพื้นฐานความครอบครอง
paul(us) นักกฎหมายคนสำคัญในยุคทองของโรมันได้ตั้งหลักพื้นฐานของความครอบครองว่าบุคคลพึงจะได้มาซึ่งความครอบครองทรัพย์โดยทางจิตใจ (animo )และโดยอินทรีย์(corpore )
(1) จิตใจหมายถึงต้องมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของ (animus domini - จิตใจแห่งเจ้าของ) ถ้ายึดถือโดยไม่มีเจตนาก็ไม่ถือว่าเป็นความครอบครอง เช่น ของที่ฝังอยู่ในที่ดินของผู้ใดแต่บุคคลนั้นไม่ทราบกฎหมายโรมันและกฎหมายอังกฤษถือว่าครอบครัวไม่ได้เพราะขาดเจตนา
(2) ส่วนที่ว่าโดยอินทรีย์นั้นไม่หมายถึงอินทรีย์ของบุคคลที่ครอบครองแต่เป็นอินทรีย์ของทรัพย์ คือผู้ครอบครองต้องสามารถควบคุมทรัพย์นั้นได้ทางกายภาพ อำนาจทางกายภาพนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละกรณี และองค์ประกอบทางอินทรีย์นี้กฎหมายโรมันถือว่าคนอื่นก็อาจจะทำแทนได้ เช่น มีกระท่อมชายทะเลแม้นานๆ จะไปทีโดยมิติอื่นดูแลแทนก็ถือว่าครอบครองอยู่ มีความไม่สม่ำเสมอ (asymmetry) ระหว่างการได้มาและการสูญเสียซึ่งความครอบครอง การสูญเสียความครอบครองเป็นไปได้ยากกว่าการได้มาซึ่งความครอบครองเพราะฉะนั้นกระท่อมชายทะเลไม่มีใครอยู่ บุคคลก็ยังครอบครัวอยู่แม้โดยเจตนาเท่านั้นก็ตาม
2. ลักษณะการครอบครอง
ความครอบครองโรมันเป็นเรื่องของความเป็นจริง หรือข้อเท็จจริง นำสืบได้ง่ายกว่ากรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นสิทธิ (ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคทอง) เพราะโดยทั่วไปผู้ซึ่งอยู่กับทรัพย์มักเป็นผู้ครอบครองที่กฎหมายโรมันเห็นความครอบครองเป็นความเป็นจริงหรือข้อเท็จจริง มิได้หมายความว่าเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับกฎหมาย การที่นาย ก. เข้าไปยังที่ดินเป็นข้อเท็จจริงหรือความจริง แต่การกระทำของนาย ก. ทำให้เขาเป็นเพียงผู้ถือครอง (detentor) หรือผู้ครอบครอง (possessor) เป็นปัญหาที่ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ตามกฎหมาย ถ้าเปรียบเทียบความครอบครองกับกรรมสิทธิ์จะเห็นได้ชัดขึ้น กรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นสิทธิย่อมมีอยู่โดยไม่จำเป็นต้องมีการแสดงออกทางกายภาพ ตรงกันข้ามความครอบครองจะมีอยู่หรือไม่ย่อมต้องอาศัยการแสดงออกดังกล่าวมาแล้วข้างต้นในข้อ 1 ฉะนั้นความครอบครองที่ดินอาจสิ้นสุดลงได้ด้วย ถ้าความเป็นจริงอันเป็นฐานของความครอบครองหมดสิ้นไป ความครอบครองก็สิ้นสุดลงด้วย[7] กว่าคนโรมันจะเห็นว่าความครอบครองเป็นสิทธิมากกว่าความเป็นจริงก็ต้องเป็นสมัยหลังยุคทองไปแล้ว อย่างไรก็ดี การที่กฎหมายยอมให้ผู้ซึ่งมีกระท่อมชายทะเลยังครอบครองกระท่อมอยู่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พักอยู่เลยก็เริ่มส่อแววของการมองความครอบครองเป็น สิทธิ แล้ว
3. การครอบครองที่ได้รับการรับรองคุ้มครองตามกฎหมาย
ความครอบครองที่ชอบด้วยกฎหมายจะได้รับการปกป้องโดยเฉพาะจากคำสั่ง(interdictum) ของ praetor (dictum = สิ่งทีถูกกล่าว inter = ระหว่าง) ปกติก็มีคนอย่างน้อย 2 คนต่อสู้กันเรื่องการครอบครอง แต่มีข้อแม้ว่าความครอบครองที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องไม่มีข้อบกพร่องหรือมลทิน 3 ประการเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม คือ
1. VI (จาก vis = กำลัง) ได้มาโดยใช้กำลัง (คือต้องได้มาโดยความสงบกฎหมายถึงจะคุ้มครอง)
2. CLAM ไม่เปิดเผย
3. PRECARIO ก็ได้มาโดยการอ้อนวอน เป็นรากศัพท์ของ precarious = ล่อแหลมหรือง่อนแง่น) โดยอ้อนวอนเจ้าของขออาศัยอยู่และจะขับไล่เมื่อใดก็จะไป
การครอบครองที่ชอบด้วยกฎหมาย จะต้องไม่ได้มาจากฝ่ายตรงข้าม (ผู้คัดค้านการครอบครองของผู้จ้างการครอบครอง) โดยมีข้อบกพร่องหรือมีมลทินอย่างหนึ่งอย่างใด 3 ประการดังกล่าว
ดังนั้น เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องสิทธิครอบครองมากยิ่งขึ้น จึงควรศึกษาวิวัฒนาการความเป็นมาและทฤษฎี possessio ของโรมัน
---------------------------------------
บทวิเคราห์เกี่ยวกับสิทธิครอบครอง
---------------------------------------
การครอบครอง เป็นอำนาจเหนือทรัพย์ที่มีการแสดงออกถึงการควบคุมทรัพย์สิน ถ้าทรัพย์ดังกล่าวเป็นที่ดิน การครอบครองจะเป็นการเข้าไปตั้งหลักแหล่งหรือรกรากอยู่ในที่ดิน หากพิจารณาถึงความหมายและลักษณะของสิทธิครอบครองในโรมัน จะพบว่าสิทธิครอบครองมีความแตกต่างอยู่กับกรรมสิทธิ์อยู่มาก เนื่องจากกรรมสิทธิ์เป็นสิทธิในทรัพย์สินย่อมมีอยู่โดยไม่จำเป็นต้องมีการแสดงออกทางกายภาพ ตรงข้ามกับการครอบครองจะมีอยู่หรือไม่ ย่อมต้องอาศัยการแสดงออก ทำให้กรรมสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องมีการแสดงออกเสมอไป แต่การครอบครองต้องมีการแสดออกทางกายภาพ หากละทิ้งไม่มีการครอบครองย่อมทำให้ไม่มีสิทธิหรือกล่าวอ้างการครอบครองได้
โปรดดู htt://gotoknow.org/blog/highland-management-in-thailand/29319
[1] ประชุม โฉมฉาย.วิวัฒนาการของกฎหมายโรมัน.โครงการตำราและวารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บริษัทโรงพิมพ์เดือนตุลา จำกัด,กุมภาพันธ์ 2548, น.237-239
[2] Schulz Fritz. Classical Roman Law. Darmatadt : Scientia Verlag Aalen. 1992, P. 428
[3] Accarias Cprecis. de droit romanin. Tome premier. paris : Libraire cotillo,1896 , P. 532-533
[4] Lepointe, Gabrie, Droit Romain et Ancien proit Frangais (Droit des biens) paris :Dalloz, 1958, P.13
[5] Guarino Antonio. Diritto Privato Romano, Quinta Edizione. Napoli : Jovene; 1996 Guarino, 1976 ,P. 462
[6] Monier, Raymond. ManueI EIe'mentaire de Droit Romain' Tome len' Paris :Editions Domat Montchestien, 1947 ,P. 384
ไม่มีความเห็น