แนวความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินของกฎหมายโรมัน
แนวคิดเกี่ยวกับทรัพย์สินของกฎหมายโรมัน มีขอบเขตกว้างขวางจนทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องแบ่งซอยส่วนต่าง ๆ ออกไป หากพิจารณาทรัพย์สินในทัศนะของสิทธิ บุคคลย่อมเป็นประธานแห่งสิทธิ (sottetti giruidci) ส่วนทรัพย์สินย่อมเป็นกรรมแห่งสิทธิ (oggetti giuridici) การพิจารณาว่าทรัพย์สินเป็นกรรมแห่งสิทธินับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่นักนิติศาสตร์โรมันทิ้งไว้เป็นสมบัติของโลกปัจจุบัน Accarias ยืนยันว่านักนิติศาสตร์โรมันมิได้พิจารณาทรัพย์สินในตัวของมันเอง แต่มองดูทรัพย์สินในลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่ทรัพย์สินเป็นกรรม objets ของสิทธิต่างๆ ซึ่งมีวิวัฒนาการแนวความคิดเรื่องการแบ่งประเภททรัพย์สินไว้ ดังนี้
----------------------------------------------------------------------------------------
แนวความคิดทรัพย์ภายใต้ เทวสิทธิ (res divini iuris) กับมนุษย์สิทธิ (res humani iuris)
------------------------------------------------------------------------------------------
แนวความคิดในกฎหมายเบื้องต้น (lnstitutionum) ไกยุสได้จำแนกทรัพย์ตามเป้าหมายในการใช้สอย (destination) มิใช่ตามลักษณะของทรัพย์(nature des choses)[1] โดยแบ่งทรัพย์เป็น 2 ประเภท คือ
1. ทรัพย์ภายใต้เทวสิทธิ (res divini iuris) อันมนุษย์ไม่อาจถือเอาได้
ทรัพย์ภายใต้เทวสิทธิ (res divini iuris) อันมนุษย์ไม่อาจถือเอาได้ เป็นทรัพย์ซึ่งปัจเจกชนไม่อาจมีสิทธิได้ ฉะนั้นจึงมี res (extra commercium ) divini iuris[2] จึงเป็น ทรัพย์นอกพาณิชย์ ได้แก่
1.1 ทรัพย์ศักดิ์สิทธิ์ (res sacrae)
1.2 ศาสนทรัพย์ (res religiosae) มีไว้เพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าเบื้องบน (dieux supeieurs)
1.3 ทรัพย์อันล่วงละเมิดไม่ได้ (res sanctae) เช่น กำแพงและประตูเมืองในลักษณะหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับเทวสิทธิ เป็นต้น
นอกจากนี้ ไกยุส ที่ได้กล่าวถึง res publicae ไว้สั้นๆ ว่าสาธารณสมบัติของแผ่นดินถือกันว่ามิได้เป็นของใคร แต่เชื่อกันว่าเป็นสมบัติของชุมชน Res publica สาธารณสมบัติของแผ่นดินนี้ ไกยุสจัดเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์อันเป็นทรัพย์เทวสิทธิ
2. ทรัพย์ภายใต้มนุษย์สิทธิ (res humani iuris) อันมนุษย์ถือเอาไว้
ในเรื่องทรัพย์ที่ขึ้นอยู่กับมนุษย์สิทธินั้น ไกยุสกล่าวว่า “ทรัพย์ที่ขึ้นอยู่กับเทวสิทธิไม่อาจเป็นของผู้ใดได้ ส่วนทรัพย์ที่ขึ้นอยู่กับมนุษย์สิทธิโดยทั่วไปตกเป็นของผู้ใดผู้หนึ่ง” และ “ทรัพย์ที่ขึ้นอยู่กับมนุษย์สิทธิอาจเป็นทรัพย์ publicae หรือ privatae ก็ได้” ฉะนั้น res private (ทรัพย์เอกชน) อาจเป็นทรัพย์ของปัจเจกชนและจำหน่ายจ่ายโอนกันระหว่างปัจเจกชนได้ [3]
--------------------------------------------------------------------------
แนวความคิดสาธาณสมบัติของแผ่นดิน (res publica )
--------------------------------------------------------------------------
ตำรากฎหมายเบื้องต้นของจัสติเนียนได้อธิบายถึง ทรัพย์สินในกฎหมายโรมัน ดังนี้
สาธารณสมบัติของแผ่นดินนี้ ไกยุสจัดเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์อันขึ้นอยู่กับมนุษยสิทธิ ส่วนจัสติเนียน ถือว่า สาธาณสมบัติของแผ่นดิน (Res publicae ) เป็นทรัพย์เท่าสิทธิ ทรัพย์เหล่านี้เป็นของชาวโรมันทั้งหมด ในฐานะที่เป็นนิติบุคคล[4] ประกอบด้วยที่ดินสาธารณะและทาส สาธารณะหรือทางหลวงที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นที่ดินนอกอิตาลี คือที่ดินในจักรวรรดิโรมัน เหนือแม่น้ำ (Po) ขึ้นไปแคว้นต่างๆของจักรวรรดินั้นจัดเป็น 2 ประเภท คือ แคว้นวุฒิสภา(ถือว่าเป็นของประชาชนโรมัน) และแคว้นจักรพรรดิ (โดยเฉพาะอาณาเขตที่ได้มาใหม่เป็นของจักรพรรดิ)
1. ความหมายของ res publicae
ดังนั้น res publicae ในความหมายกว้าง รวมไปถึง สาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะโดยแท้และเพื่อประโยชน์เอกชนด้วย (เช่น ที่รัฐให้สัมปทานเอกชนไปทำเหมืองแร่ เป็นต้น) สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทหลัง (คือ ที่เอกชนสัมปทาน) นี้ใช้ประโยชน์ในการทำรายรับเข้าคลังเพื่อให้รัฐมีรายได้มาใช้จ่ายและมีตัวอย่างและมีอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วยเหมืองแร่ เหมืองหินและวนอุทยานแห่งชาติ (forêts domaniales) อย่างไรก็ดีการแบ่งแยกการใช้สาธารณะสมบัติทั้ง 2 ประเภทไม่ได้เด็ดขาดเสียที่เดียวในทางปฏิบัติ
ในฐานะที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินทรัพย์ทั้ง 2 แบบ อยู่ภายใต้การบริหารของผู้บริหารรัฐหรือข้าราชการ สัญญาที่รัฐทำขึ้นกับเอกชนก็มิได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลแพ่งตามปกติ และย่อมขึ้นกับการชี้ขาดของฝ่ายบริหาร การครอบครองตาม usucapio และ praescriptio (การครอบครองปรปักษ์) เพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์ภายหลังย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ ทำให้ Res publicae แตกต่างจากทรัพย์ซึ่งเอกชนอาจถือเอาได้ทั่วไป
แต่ในความหมายที่แคบ Res publicae เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (domaine public) และปัจเจกชนไม่อาจถือเอาได้เพราะทรัพย์เหล่านี้สงวนไว้ให้สมาชิกของรัฐทุกคนมีไว้ใช้ร่วมกัน เช่น ที่ดินเหมือง วนอุทยานแห่งชาติ ชายตลิ่ง ทางหลวง ท่าเรือ โรงละคร และสนามกีฬาสาธารณะก็เป็นตัวอย่างของทรัพย์ประเภทนี้เช่นกัน
2. ลักษณะแห่งสิทธิของ res publicae
ทรัพย์ publicae ดังกล่าวนี้มีไว้เพื่อให้ราษฎรทุกคนได้ใช้สอยเหมือนกับทรัพย์ที่เป็นของมนุษย์ใช้ร่วมกัน (res communes) การที่ Girard กล่าวเช่นนี้สะท้อนความกว้างขวางของความคิดของไกยุสแต่ทำให้เกิดความสับสนเพราะจัสติเนียนแยก res communes ออกเป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง ถ้ามีผู้ใดถูกรบกวนไม่ให้ใช้ทรัพย์สินเหล่านี้ย่อมฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด (iniuria) ได้[5] ประโยชน์สาธารณะที่ได้จากทรัพย์เหล่านี้มากมายจนกระทั่งมีผู้อ้างว่ารัฐมิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว และรัฐใช้แต่เพียงอำนาจอธิปไตยเหนือทรัพย์เหล่านี้เท่านั้น Girard ยืนยันว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นความสำคัญผิด การเข้าถึงและการใช้สอยทรัพย์ดังกล่าวย่อมขึ้นอยู่กับการควบคุมของทางการ[6]
-------------------------------------------
ทรัพย์ร่วม (res communes)
-------------------------------------------
จัสติเนียนแยก res communes ออกเป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง ถ้ามีผู้ใดถูกรบกวนไม่ให้ใช้ทรัพย์สินเหล่านี้ ย่อมฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด (iniuria) ประโยชน์สาธารณะที่ได้จากทรัพย์เหล่านี้มากมายจนกระทั่งมีผู้อ้างว่ารัฐมิได้เป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว จัสติเนียนได้เพิ่มประเภททรัพย์ res communes นอกเหนือจากที่ไกยุสได้แบ่งไว้ เพราะตามทัศนะของผู้รวบรัดประมวลกฎหมายถวายจัสติเนียนของไกยุส ดูจะกว้างขวางครอบคลุมไปถึง res communes ด้วย
1. ความหมาย res communes
คำว่า communes หมายถึงว่าแต่ละคนอาจใช้ประโยชน์ทรัพย์ดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน เช่น ทะเลหลวง (haute mer) อันเป็นทรัพย์ร่วมของทุกคนและทุกชาติ กล่าวคือ อากาศ น้ำ ทางน้ำ ทะเล ชายฝั่ง ย่อมเปิดให้ทุกคนใช้ได้ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องไม่ล่วงละเมิดแก่บ้านพักผ่อน อนุสาวรีย์ และโรงเรือน เพราะทรัพย์เหล่านี้ มิใช่ทรัพย์จาก ius gentium เหมือนทะเล ดังนั้น น้ำส่วนที่แต่ละคนนำขึ้นมาใช้ย่อยตกเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล หรือ ฝั่งทะเลย่อมเป็นทรัพย์ร่วม (res communes) เช่นเดียวกัน ฉะนั้นผู้ใดก็จะตากอวน สร้างที่กำบังเพื่อให้คนอาศัยหรือนำผลผลิตจากการทำประมงเก็บไว้ก็ได้ นอกจากนี้อาจจะนำเรือขึ้นอู่เรือแห้งซ่อมแซมหรือเพื่อรอให้พ้นหน้าหนาวก็ได้ ทั้งนี้ย่อมเป็นผลมาจากหลักเสรีในการเดินเรือ
อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ประชุม โฉมฉาย เห็นว่าที่ดินชายฝั่งมีลักษณะผสมคือจะเป็น (res communes) ในส่วนที่ต้องขออนุญาตจากรัฐในการใช้สอย แต่จะเป็น res nullius ในสิ่งที่สามารถเป็นเจ้าของชั่วคราว(ตราบใดที่แหล่งกำบังอยู่) ได้โดยหลัก occupation
2. ลักษณะแห่งสิทธิของ res communes
การใช้ทรัพย์ร่วมเหล่านี้จำเป็นต้องปรับให้ร่วมกับความคิดเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันค่อนข้างกว้างขวาง เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมย่อมมีสินเด็ดขาดมาเฉพาะต่อผิวดินเท่านั้น แต่รวมไปถึงบริเวณใต้ดินและลำหรือแท่งอากาศ (colonne d’ air)เหนือที่ดินของตนด้วย บุคคลอื่นย่อมไม่มีสิทธิจะบุกรุกไปยังบริเวณอากาศเหนือที่ดินของเจ้ากรรมสิทธิ์เพื่อที่จะดักอากาศหรือนำกังหันลมไปให้หมุนเหนือที่ดินของเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้
ดังนั้น การใช้ res communes จะต้องขึ้นอยู่กับกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินเอกชนดังกล่าวมาแล้ว ทรัพย์ดังกล่าวมิอาจจะเป็นกรรมของสิทธิ์ผูกขาด (objet d’ un droit exclusit) ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือชนชาติใดชนชาติหนึ่ง ข้อสงวนนี้ไม่รวมถึงท้องน้ำหรือท้อง (ก้น) ทะเล ซึ่งน่าจะเป็น res nullius (ทรัพย์ซึ่งไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ) มากกว่า
แม้บุคคลไม่อาจถือเอาทรัพย์ร่วมได้ก็ตาม สิทธิในการใช้ทรัพย์ดังกล่าวเกิดจากการมีสภาพเป็นบุคคล ผู้รบกวนสิทธิดังกล่าวย่อมถือว่าละเมิด (iniuria) มิใช่ต่อสิทธิในทรัพย์สินแต่ต่อสิทธิในฐานะที่เป็นบุคคล และผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องได้โดยรูปคดีละเมิด
res communes ของกฎหมายโรมันมีลักษณะใกล้เคียงกับทรัพยากรร่วม (common-pool resources หรือ open-access resources)[7] ในปัจจุบัน สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ มักมีแนวโน้มในการแยกกันใช้ทรัพยากรดังกล่าวด้วยไม่กังวลว่าจะมีความยั่งยืนเพียงใด เพราะต่างคนต่างแย่งกันถือเอาเป็นประโยชน์จากทรัพยากรดังกล่าวในลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา (rule of capture) จนกระทั่งมีการใช้เกินเหตุไปและขาดการอนุรักษ์ ทั้งนี้เป็นเพราะขอบเขตทางสถาบัน (institutional framework) ในการควบคุมที่ยังไม่ใช้ทรัพยากรยังมีไม่เพียงพอ ตัวอย่างสำคัญก็คือ แม่น้ำระหว่างประเทศบางสายที่ยังขาดหลักนิติศาสตร์และสถาบันที่เหมาะสมในการใช้ เช่น แม่น้ำโขงเป็นต้น อย่างไรก็ดี res communes ของคนโรมันยังอยู่ในฐานะที่ดีเพราะขึ้นอยู่กับภายใต้การดูแลของรัฐโดยเคร่งครัดความจริงถ้าฐานทางทรัพยากรของจักรวรรดิโรมันเสื่องลง เพราะการใช้ res communes เกินเหตุไป ก็อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้จักรวรรดิโรมันสลายตัวไปได้ในที่สุด[8]
Lee[9] ให้ความเห็นอย่างถูกต้องว่า การแบ่งแยกระหว่าง res publicae กับ res communes ของจัสติเนียนไม่ชัดเจนและไม่เกิดประโยชน์อันใดในทางปฏิบัติ จริงอยู่ขอบเขตของ res communes ดูจะเป็นโลกทั้งหมด ส่วนขอบเขตของ res publicae คือรัฐโรมันเท่านั้น อย่างไรก็ดีตราบใดที่ res communes อยู่ในอาณาเขตของโรมัน ผู้บริหารดำเนินการควบคุมการใช้ในลักษณะเดียวกับ res publicae
--------------------------------------------------------------------
แนวความคิดทรัพย์ของชุมชน (res universitatum)
--------------------------------------------------------------------
1. แนวคิดเกี่ยวกับ ทรัพย์ของชุมชน (res universitatum)
Monier ตั้งข้อสังเกตว่าการแบ่งแยก res communes กับ res publicae ซึ่งผู้รวบรวมกฎหมายถวายจัสติเนียนคิดขึ้นมานั้น ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักนิติศาสตร์โรมันยุคทองยกเว้น Marcianus ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากความคิดกรีกอย่างมากมาย ฉะนั้นการพิจารณาว่าอากาศเป็นทรัพย์ร่วมนั้นเป็นความคิดทางปรัชญา โดยที่ Monier มองเห็นนัยทางนิติศาสตร์หรือการจัดให้น้ำไหลเป็น res communes อย่างหนึ่งก็เป็นความคิดค่อนข้างไม่แจ้งชัด เพราะน้ำที่ไหลในแม่น้ำก็มีลักษณะเหมือนกับแม่น้ำซึ่งอาจเป็น res publicae หรือ res private ก็ได้แล้วแต่กรณี ในสมัยยุคทองนั้น Monier ยืนยันว่ามีการจำแนกประเภททรัพย์ของส่วนรวม(res publicae) อันเป็นของประชาชนทั้งหมด กับ ทรัพย์ของชุมชน (res universitatis) อันเป็นของเมืองต่างๆเท่านั้น แต่ไม่มี res communeแต่อย่างใด
จัสติเนียนทรงเล่าถึง res universitatis ไว้ว่า ทรัพย์ซึ่งเป็นของชุมชน (universitas) และไม่ใช้ของปัจเจกชน ตัวอย่างเช่น สิ่งปลุกสร้างในเมืองอย่างโรงละคร สนามวิ่งแข่ง และสิ่งที่คล้ายกันเป็นสมบัติร่วมกันของสมาชิกของเมือง[10]
2. ความหมายของ res universitatis
Universitatis ในความหมายกว้างอาจเป็นจักรวรรดิ หรือโลกทั้งหมดก็ได้ แต่โดยความหมายแคบหมายถึงชุมชนในลักษณะต่างๆ กัน ฉะนั้นเมืองซึ่งนำหน้าโดยมหานครโรม (เรียกว่า Urbs) จึงเป็นชุมชนที่แพร่หลายที่สุดในสมัยนั้น ฉะนั้นที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นเมือง [11] โดยเหตุที่ res universitatis หมายถึงทรัพย์ที่มิได้เป็นของสมาชิกของเมืองคนใดคนหนึ่งแต่เป็นของเมืองโดยส่วนร่วม (patrimonium civitatis) แต่ปัจเจากชนอาจใช้ได้โดยเสรี ผู้ใดขัดขวางมิให้ใช้สิทธิเกี่ยวกับทรัพย์เหล่านี้ สามารถฟ้องลักษณะละเมิด (iniuria) ได้เช่นเดียวกับทรัพย์ของส่วนรวมอื่นๆ
ถ้าพิจารณาโดยละเอียดแล้ว Girard ชี้แจงว่าการใช้ res universitatis นอกจากจะเป็นลักษณะเดียวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ยังอาจใช้ประโยชน์ส่วนบุคคลได้ในลักษณะที่ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ประชุม โฉมฉาย เข้าใจว่าเหมือนสัมปทานของรัฐ แต่ในที่นี้เป็นสัมปทานของนิติบุคคล (personne morale) ที่เป็นส่วนย่อยของรัฐ Ulpianus D. ตำหนิการใช้ภาษาผิดโดยการเรียกทรัพย์ universitatis ในการใช้ดังกล่าวว่าเป็น res publicae[12] โดยท่าน อ.ประชุม โฉมฉาย เห็นว่า res publicae ของท้องถิ่นน่าจะเป็นที่ยอมรับได้เหมือนกับ public goods ท้องถิ่นเป็นที่ยอมรับได้ทางการคลัง[13]
-------------------------------------------------------------------
แนวความคิดทรัพย์ที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ (Res nullius)
--------------------------------------------------------------------
Lepointe ตีความอย่างแคบว่า res nullius (ทรัพย์ซึ่งไม่เป็นสิทธิของผู้ใด) เป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ ท่านศาสตราจารย์ ดร.ประชุม โฉมฉาย เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์เพราะไม่ช่วยในการศึกษาวิธีการอันได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์เหล่านี้
Girard และ Robaye ให้ความเห็นว่า res nullius มี 2 แบบ คือ (i) res nullius divin iuris ทรัพย์เทวสิทธิซึ่งไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ คือ res sacae, religiosa และ sanctae และ (ii) res nullius humani iuris ทรัพย์มนุษย์สิทธิซึ่งไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของอันประกอบด้วย res communes, publicae และ univeristatis แต่ Rodaye ไม่นำ res universitatis เข้ามาพิจารณาเลย การตีความนี้เปิดช่องให้ปัจเจกชนมีกรรมสิทธิได้โดยจำกัดมาก
การตีความที่เป็นประโชยน์กับกฎหมายทรัพย์สินเพราะจะเปิดช่องให้พิจารณาลักษณะอันปัจเจกชนได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ใน res nullius ดังกล่าวมาจาก Lee[14] โดยเขาแยกความหมาย res nullius ออกเป็น 3 อย่างด้วยกัน
(1) ทรัพย์ทักอย่างซึ่งปัจเจกชนไม่อาจถือเอาได้ตามความคิดคนโรมัน
(2) Res sacrae, religiosae และ sanctae
(3) ทรัพย์ซึ่งแม้ปัจเจกชนอาจถือเอาได้ตามยังไม่มีเจ้าของในขณะที่เรากล่าวถึง เช่น สัตว์ป่าที่ยังไม่มีใครจับไป หรือทรัพย์ซึ่งเจ้าของได้สละหรือทอดทิ้งแล้ว (res derelictae)[15]
ทรัพย์ประเภทที่ (1) และ (2) ของ lee ครอบคลุมไม่น้อยกว่าของ Girard และ Robaye ดังที่กล่าวมาแล้วข้างบน แต่ ทรัพย์ประเภทที่(3) มีลักษณะสำคัญต่อการได้กรรมสิทธิ์ของปัจเจกชนใน res nullius จึงเป็นการตีความที่ได้ประโยชน์มากที่สุด
----------------------
บทวิเคราะห์
---------------------
แนวความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการแบ่งประเภททรัพย์สินของกฎหมายโรมัน ทำให้เห็นถึง ความพยายามของนักนิติศาสตร์ในยุคโรมัน ในอธิบายถึงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ของเอกชน กรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์ และทรัพย์ของชุมชน ประกอบกับ ยังมีทรัพย์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถถือกรรมสิทธิ์ได้ โดยกฎหมายโรมันพยายามอธิบายทรัพย์ตามกฎหมายของเอกชน ซึ่งให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ และทรัพยสิทธิในทรัพย์สิน รวมทั้งได้แบ่งประเภทของทรัพย์ที่ปลอดจากการตกกรรมสิทธิ์ของเอกชน เพื่ออนุรักษ์ รักษาไว้ให้ประชาชนมีสิทธิในการใช้ประโยชน์ในทรัพย์ร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของสาธารณชนและชุมชน จึงทำให้ทรัพย์ร่วมเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ที่ไม่สามารถจำหน่าย จ่ายโอนได้ เพื่อสงวนไว้ให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันของประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน โดยเฉพาะทรัพย์ประเภทที่ดินที่เป็นแหล่งกำเนิดของทรัพยากรธรรมชาติอีกหลายอย่าง เช่น แม่น้ำ สำธาร ป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ตัดสิทธิในการที่เอกชนจะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางประเภทเช่นกัน
อย่างไรก็ตามแนวคิดการแบ่งประเภททรัพย์สินของกฎหมายโรมัน สะท้อนให้เห็นได้ว่า สาธารณสมบัติของแผ่นดิน (res publicae) จะอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐ ทรัพย์ร่วม (res communes) เป็นทรัพย์ที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ทรัพย์ดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน แต่ไม่อาจถือเอาทรัพย์ร่วมได้ แต่ผู้มีสิทธิในการใช้ทรัพย์ดังกล่าวเกิดจากการมีสภาพเป็นบุคคล ผู้รบกวนสิทธิดังกล่าวย่อมถือว่าละเมิด จะเห็นได้ว่าทรัพย์เหล่านี้เป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ที่รัฐต้องเข้าไปควบคุมดูแล โดยผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ต้องมีสภาพบุคคล สำหรับทรัพย์ของชุมชน (res unversitatum) เป็นทรัพย์ที่สมาชิกในชุมชนทุกคนโดยส่วนรวมเป็นเจ้าของ มิได้เป็นของสมาชิกในชุมชนคนใดคนหนึ่ง ซึ่งคงต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นแนวคิดสิทธิชุมชน (Collective Right) ที่มีต่อทรัพย์ได้เกิดขึ้นมาในปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร? แต่สำหรับ กฎหมายโรมันยังให้การรับรองคุ้มครองเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเช่นกัน
[1] Declareuil. J. Rome et I’organiation du droit . Paris : La Renaissance du Livre, 1924 , P.174
[2] Guarino Antonio. Diritto Privato Romano. Quinta Edizione, Napoli : Jovene : 1966, Storia del diritto Romano, Napoli : Jovene, 1976, P.316-317
[3] ประชุม โฉมฉาย.หลักกฎหมายโรมันเบื้องต้น.โครงการตำราและวารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บริษัทโรงพิมพ์เดือนตุลา จำกัด,กรกฎาคม 2546 น.278-280
[4] Robaye René. Le droit romain. Tome 2, Louvain-la-Ncuve : Bxuyanr-Acadcmia, p.76 ; Guarino Antonio. Diritto Privato Romano. Quinta Edizione, Napoli : Jovene : 1966, Storia del diritto Romano, Napoli : Jovene, 1976,p.263
[5] Girard P.F.1. Manuel (Elémentare) de droit romain. 8 édition revue par F. Senn, Paris : Librarie Arthur Rousseau, 1929, P.261
[6] อ้างในเชิงอรรถที่ 3 แล้ว, น.281-284
[7] Chomchai Prachoom. Law and Eurnomicus. Bangkok : Thammasat University,1993
[8] อ้างแล้วในเชิงอรรถที่ 3, น.284-288
[9] Lee R.W. The Element of Roman Law. London : Sweet & Maxwell, 1956, P.109
[10] อ้างเล้วในเชิงอรรถที่ 5 น.262
[11] Accarias C. Précis de droit romain. Tower Premier. Paris : Libraire Cotilllon, 1896 , p.507
[12] อ้างแล้วในเชิงอรรถที่ 5, p.262 n.4
[13] อ้างแล้วในเชิงอรรถที่ 3 , น.288-289
[14] อ้างแล้วในเชิงอรรถที่ 9 , น.110
[15] อ้างแล้วในเชิงอรรถที่ 3 , น.289-290
ไม่มีความเห็น